Pages

Subscribe:

Ads 468x60px

Friday, November 28, 2014

Fibonacci มือใหม่ควรใช้

Fibonacci เป็นเครื่องมือเครื่องมือที่ใช้วัดหา แนวรับ –แนวต้านและหาราคาเป้าหมายของราคาในตลาดForex เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ใช้กันมากเพราะ Fibonacci ใช้ง่าย และเป็นพื้นฐานที่เราควรจะรู้
สัดส่วนของ fibonacci ได้แก่ 0 (0%) , 0.236(23.6%) ,0.382(38.2%) ,0.500(50%),0.618(61.8%) , 0.764(76.4%) , 1.00(100%), 1.382(138.2%) , 1.618(161.8%) , 2.618(261.8%) และ 4.236(423.6%) ดังรูปด้านล่าง


วิธี การใช้ Fibonacci ก่อนอื่น เรามาตั้งค่า Fibonacci ในโปรแกรม Mt4 ของเราก่อน ถ้าใครยังไม่รู้ ให้ไปดาวโหลดและดูวิธีการสมัครขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม Mt4 สำหรับเทรด forex
เลือก Fibonacci โดยเข้าไปที่ Insert >> Fibonacci >> Retracement แล้วก็เอามาลากบนกราฟ โดย Fibonacci แบบเดิมๆ ที่ให้มากับ Mt4 จะไม่มีราคาติดอยู่ที่ระดับต่างๆของ Fibonacci ดังรูปด้านล่าง


- เมื่อเรามี Fibonacci อยู่บน Chart แล้ว ให้ คลิกขวาที่ Chart เลือก Objects List แล้วเลือก Fibo จากนั้นเลือก Edit
- เมื่อคลิกที่ Edit แล้ว ให้คลิกที่ Fibo Levels จากนั้นให้เติมคำว่า =%$ ลงไปต่อท้ายที่ช่อง Descriptions ทุกตัว
Edit-fibo


- เมื่อ ทำเสร็จแล้วจะได้ดังรูป


การใช้ Fibonacci Retracement
1. ใช้เพื่อหาแนวรับแนวต้าน (Support and Resistance)
-หา จุดต่ำสุด(Low) และ หาจุดสูงสุด High ก่อน โดยหาจากยอดคลื่นล่าสุด และ ก้นบึ้งล่าสุด ดังรูป


เมื่อ ราคาได้เคลื่อนตัวลงมาแล้ว ราคาจะขึ้นไปปรับตัวที่ระดับ Fibonacci Retracement 38.2 , 50.0 และ 61.8 เราสามารถใช้ จุดเหล่านี้เป็นแนวต้านของราคาได้ ถ้าราคาไม่สามารถผ่านแนวต้าน (resistance ) นี้ได้ ราคาก็จะปรับตัวลงต่อ และมาทดสอบที่ Low เดิม แต่ถ้าสามารถผ่าน แนวต้านนี้ได้ ราคาก็จะกลับไปทดสอบ High เดิม เช่นเดียวกัน
2.ใช้ Fibonacci Retracement เพื่อหาราคาเป้าหมาย (Target price )
-ทุกๆ ครั้งที่เราทำการเข้าเทรด เมื่อเข้าไปแล้ว เราก็ต้องหาราคาเป้าหมาย ว่ามันควรจะไปถึงไหน ซึ่ง Fibonacci Retracement สามารถบอกเราได้ ว่ามันควรจะไปแค่ไหน แต่จงจำไว้นะครับ ว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่การคาดการณ์ ไม่ได้ตรงแปะเสมอไป


จาก รูปด้านบน จะเห็นว่า ราคาสวิงขึ้นจาก Low ไปที่ High แล้วราคามีการปรับตัวลงมา ตำแหน่งที่ปรับฐาน หรือ แนวรับ ที่เราควรจะสังเกตก็คือ ที่ระดับ Fibonacci Retracement 61.8 , 50.0 และ 38.2 จากรูปด้านบนจะเห็นว่าราคาไม่สามารถผ่าน 50.0 ไปได้ หรือบางครั้งเราอาจจะเรียกตำแหน่งนี้ว่า Pivot Point เมื่อราคาดีดตัว ตรงนี้ เราก็คาดการณ์ได้เลย ว่ามันต้องขึ้นแน่ๆ ก็ เปิด Long (Buy) ได้เลย แล้ว ตั้ง TARGET ไว้ที่ Fibonacci Retracement 161.8
หวังว่าวิธีนี้คงเป็นประโยชน์ กับเพื่อนๆนะครับ หากมีข้อสงสัยอะไร สามารถ Comment ไว้เลยนะครับ ผมจะกลับมาตอบให้

 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/fibonacci-653/?/

Sunday, November 9, 2014

รูปแบบราคา Harmonic

คุณ มีรูปแบบกราฟพื้นฐาน ในกล่องเครื่องมือ มาก พอสมควร ตอนนึ้ถึงเวลาที่จะเดินก้าวต่อไป และ หาเครื่องมือที่รุดหน้ากว่า เพื่อใช้ในการเทรด
ในบทนี้ จะเน้นไปที่รูปแบบพฤติกรรมราคาแบบฮาร์โมนิค ซึ่งอาจจะยากในการทำความเข้าใจ แต่เมื่อจับแนวทางถูก มันก็จะทำให้ คุณได้กำไร อย่างง่ายดาย ได้เหมือนกัน !
ประเด็นของการเล่นแบบนี้ ก็คือ ช่วยให้ระบุระดับต่าง ๆ ของเทรนด์ปัจจุบันได้ ซึ่งจริง ๆ แล้ว เราจะใช้เครื่องมือ อื่น ๆ ทีเรารู้มาด้วย ในบทนี้ เช่น แนวเส้นต่าง ๆ ของ Fibonacci และ Fibonacci extension! ถ้าเราเอามา ประยุกต์กับเครื่องมือเหล่านี้ ในการบอกรูปแบบราคา แบบ Harmonic ก็จะสามารถบอกได้ว่า บริเวณไหน ที่จะเป็นจุดที่เทรนด์จะหยุด หรือจะไปต่อ

ในบทเรียนนี้ เราจะพูดถึงเรื่อง รูปแบบราคาแบบฮาร์โมนิค ดังนี้ :
- รูปแบบ ABCD
- รูปแบบ Three-Drive
- รูปแบบ Gartley
- รูปแบบ Crab (ปู)
- รูปแบบ Bat (ค้างคาว)
- รูปแบบ Butterfly (ผีเสื้อ)

เมื่อ คุณเข้าใจแนวทางของมันแล้ว จะง่ายกว่าที่คิด เหมือนกับเลข 1-2-3 เราจะเริ่มจาก รูปแบบพื้น ๆ แบบ ABCD และรูปแบบ three-drive ก่อนที่เราจะไปที่รูปแบบ Gartley และ รูปแบบสัตว์ต่าง ๆ หลังจากที่ได้เรียนรู้ และเข้าใจ แล้ว เราจะศึกษาไปยังสิ่งที่คุณจะต้องใช้ กับรูปแบบเหล่านี้ ในการเทรด อย่างประสบ ความสำเร็จ สำหรับรูปแบบ ฮาร์โมนิคเหล่านี้ ประเด็นก็คือ ให้รอจนกว่าจะมีรูปแบบเกิดขึ้นก่อนที่คุณจะเทรด ไม่ว่าจะเป็นออร์เดอร์ Buy หรือ Sell แล้วคุณก็จะเข้าใจเอง ในสิ่งที่เรากำลังจะอธิบายให้คุณรู้ต่อไปนี้

รูปแบบ ABCD และ รูปแบบ Three-Drive.


เริ่ม บทนี้ด้วยรูปแบบราคา ฮาร์โมนิค ที่ง่ายที่สุดก่อน รูปแบบกราฟแบบ ABCD ในการจะกำหนดรูปแบบกราฟแบบนี้ ในโปรแกรม คุณจะต้องใช้สายตา และเครื่องมือ Fibonacci ทั้งกราฟรูปแบบกระทิง และรูปแบบหมี ในเวอร์ชั่นของ ABCD เส้น AB และเส้น CD จะถูกเรียกว่าขา ในขณะที่ เส้น BC จะเป็น Correction หรือ เส้นแนวรับ ถ้าคุณใช้ Fibonacci ที่ขาของเส้น AB เส้น BC ก็จะอยู่ที่ระดับ 0.618 และเส้น CD ก็จะอยู่ที่ระดับ 1.272 ใน Fibonacci extension ของเส้น BC
สิ่งที่ต้องทำคือ รอให้รูปแบบเหล่านี้เกิดขึ้นเสร็จแล้ว (ให้ถึงจุด D) ก่อนที่จะส่งออร์เดอร์ Buy หรือ Sell


 คุณต้องการความแม่นยำกับมัน มีกฏให้ใช้กับรูปแบบ ABCD
- ความยาวของเส้น AB ควรจะเท่ากับ ความยาวของเส้น CD
- เวลาที่ทำให้ราคา เคลื่อนไปจากจุด A ถึงจุด B ควรจะเท่ากับเวลาที่มันเคลื่อนจากจุด C ถึงจุด D


รูป แบบ Three-drive เหมือนกับรูปแบบ ABCD ยกเว้นมันมีสามขา (ซึ่งเราเรียกว่า Drive) และมีเส้น Correction หรือ แนวรับ จริง ๆ แล้ว รูปแบบ Three drive เป็นต้นกาเนิดของ Elliott Wave คุณจำเป็นต้องมีสายตา แหลมคม เครื่องมือ Fibonacci เป็นกุญแจในการถอดรหัสรูปแบบนี้


 ตาม ที่เห็นจากกราฟข้างบน จุด A ควรจะเป็นระดับ Fibonacci ที่ 61.8% ของ Drive 1 และ จุด B ควรจะเป็น ระดับ 0.618 ของ drive 2. และ Drive 2 ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.272 ของ Correction A และ Drive 3 ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.272 extension Fibonnacci ของ correction B

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อรูปแบบ Three-drive เกิดขึ้นแล้ว คุณสามารถส่งออร์เดอร์ของคุณได้ทั้งออร์เดอร์ Buy และ ออร์เดอร์ Sell ซึ่งเมื่อราคาถึงจุด B คุณสามารถส่งออร์เดอร์ Buy หรือ Sell ที่ระดับ 1.272 extension ซึ่งคุณไม่ควรจะพลาด!

แต่ก่อนอื่น เราควรตรวจดูว่า ตรงตามกฏเหล่านี้หรือไม่:
- เวลาที่ไปจนถึงจุดสิ้นสุด ของ Drive 2 ควรจะเท่ากับ เวลาที่จบ Drive 3
- เวลาที่ไปถึงจุดสิ้นสุดของเส้นแนวรับ A ควรจะเท่ากับ จุดแนวรับ B

หมายเหตุ : คนที่ไม่เข้าใจว่า Extension คืออะไร ให้ไปดูเรื่อง Fibonnacci extension

รูปแบบ Gartley และ รูปแบบสัตว์ต่าง ๆ
มี นักเทรดอัจฉริยะคนหนึ่ง ชื่อว่า Harold McKinley Gartley เขาเป็นผู้บริการให้คำปรึกษาในการลงทุน ในตลาด หลักทรัพย์ ในช่วงกลางของยุค 1930 และมีลูกค้ามากมาย ซึ่งบริการของเขาเป็นการรวมเอาวิทยาศาสตร์ และ วิธีการทางสถิติ ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของราคาตลาดหุ้น

ในที่สุด Gartley ก็สามารถแก้ปัญหาใหญ่ ๆ สองอย่างของนักเทรดได้ คือ ควรจะซื้ออะไร และเมื่อไหร่ ในไม่ช้า นักเทรดก็เข้าใจว่า รูปแบบนี้ก็สามารถประยุกต์ใช้กับตลาดอื่น ๆ ได้เช่นกัน ซึ่งหนังสือ โปรแกรมเทรด หรือ รูปแบบ การเทรดต่าง ๆ ก็อ้างทฤษฎี จากทฤษฎีของเขา

รูป แบบ Gartley "222" เป็นชื่อของเลขหน้า ที่พบในหนังสือของ Gartley ชื่อ Profits in the Stock Market. รูปแบบ Gartleys เป็นรูปแบบซึ่งรวมไปด้วยรูปแบบพื้นฐาน อย่าง ABCD ที่เราพูดไปก่อนหน้านี้แล้ว และ ให้ความสำคัญ ของจุดสูงสุด และจุดต่ำสุดของราคา


รูป แบบนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดรูปแบบ Correction ของเทรนด์ ซึ่งจะมีรูปร่างคล้าย ตัว M หรือตัว W ในภาวะตลาดหมี รูปแบบนี้ช่วยให้นักเทรด หาจุดเข้าที่ดี ในการเข้าเทรดในเทรนด์ต่าง ๆ ได้ดี
รูป แบบ Gartley จะเกิดขึ้นเมื่อพฤติกรรมราคา ในเทรนด์ขาขึ้น หรือขาลง แต่ ต้องมีรูปแบบสัญญาณ Correction ก่อน แล้วสิ่งที่ทำให้รูปแบบ Gartley ทำให้มันทำงานได้ดี เมื่อในการหาจุดเหล่านี้คือ Fibonacci และ Fibonacci extension จุดนี้ให้สัญญาณชัดเจนว่า ทิศทางราคา อาจจะเกิดการกลับตัว


รูป แบบนี้อาจจะยากซักหน่อย เพราะมันทำให้คุณสับสันเมื่อคุณใส่ เครื่องมือ Fibonacci ลงไป กุญแจสำคัญ ในการหลีกเลี่ยงไม่ให้มีความสับสน คือให้ทำทีละอย่าง แล้วค่อย ๆ วิเคราะห์ทีละขั้น

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ ตาม รูปแบบต่อไปนี้จะเกิดขึ้นทั้งรูปแบบ ABCD ในภาวะตลาดหมี และตลาดกระทิงได้ทั้งคู่ แต่ว่าต้องมีจุด (x) มาก่อนจุด D ถึงจะสามารถวิเคราะห์รูปแบบ Gartley ได้

 โดยจะมีลักษณะดังนี้ :
1. เส้น AB ควรจะอยู่ที่ระดับ .618 ของเส้น XA.
2. เส้น BC ควรจะอยู่ที่ระดับ .382 หรือ .886 ที่ใดที่หนึ่งของเส้น AB.
3. ถ้าเส้น BC อยู่ที่ระดับ .382 ของเส้น AB ดังนั้นเส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.272 ของเส้น BC และถ้าเส้น BC อยู่ที่ระดับ .886 ของเส้น AB เส้น CD ก็ควรจะเลื่อนไปอยู่ที่ระดับ 1.618 ของเส้น BC ตามลาดับ
4. เส้น CD ควรจะอยู่ที่ .786 ของเส้น XA

รูปแบบ สัตว์ต่าง ๆ

เมื่อ เวลาผ่านไป รูปแบบ Gartley ได้รับความนิยมมากขึ้น และมาพร้อมกับรูปแบบของปัญหา หรือตัวแปร ที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผู้ค้นพบตัวแปรเหล่านี้ ได้ตั้งชื่อ เป็นชื่อของสัตว์แต่ละชนิด มีดังนี้ ...


 ใน ปี 2000, Scott Carney, คนที่เชื่อในรูปแบบราคาแบบ harmonic ค้นพบรูปแบบ "Crab" (ปู) เขาบอกว่า รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่แม่นยำที่สุด ในหมู่ของรูปแบบ Harmonic เพราะว่า เป็นจุดที่อาจจะเกิดจุดกลับเทรนด์ได้ (บางครั้งเรียกว่าเป็น จุดที่คุณจะหมดตัวได้)
รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ High reward-to-risk (อัตรากำไรสูงกว่าขาดทุน) เพราะคุณสามารถตั้ง Stop loss ได้ไม่ต้องมากนัก


รูปแบบปูจะต้องมีลักษณะอย่างนี้ :
1. เส้น AB ควรจะอยู่ที่ระดับ .328 หรือ .618 ของเส้น XA
2. เส้น BC ควรจะอยู่ที่ .328 หรือไม่ก็ .886 ของเส้น AB
3. ถ้าเส้น BC ระดับ Fibonacci เท่ากับ .328 ของเส้น AB ดังนั้น เส้น CD ควรจะเท่ากับ 2.24 ของเส้น BC และ ถ้าเส้น BC อยู่ที่ระดับ .886 ของเส้น AB เส้น CD ก็ควรจะอยู่ที่ระดับ 3.618 extension ของเส้น BC
4. เส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.618 extension ของเส้น XA


 ใน ปี 2001 Scott Carney พบรูปแบบ Harmonic ขึ้นมาอีก เขาจึงเรียกมันว่า Bat หรือ ค้างคาว รูปแบบ Bat นี้จะอยู่ที่ระดับ .886 ของเส้น XA ซึ่งจะเป็นจุดที่คาดว่าจะเป็นจุดกลับตัวของทิศทางราคา

โดยรูปแบบ Bat จะมีลักษณะดังต่อไปนี้ :
1. เส้น AB ควรจะอยู่ที่ระดับ .382 หรือ .500 ของเส้น XA
2. เส้น BC ควรจะอยูที่ระดับ .382 หรือ .886 ของเส้น AB
3. ถ้าเส้น BC อยูที่ระดับ .382 ของ AB และเส้น CD อยู่ที่ 1.618 ของ extension ของเส้น BC และ BC อยู่ที่ .886 ของเส้น AB เส้น CD ควรจะอยู่ที่ 2.168 ของ Extension BC ตามลาดับ
4. เส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ .886 ของเส้น XA



 รูป แบบ Butterfly (ผีเสื้อ) เปรียบรูปแบบนี้เหมือนกับ โมฮัมหมัด อาลี ถ้าคุณเห็นรูปแบบนี้ คุณก็อาจจะมีโอกาสน็อคคู่ต่อสู้ และได้รางวัลเป็น pip มากมาย!

รูปแบบนี้ค้นพบโดย Bryce Gilmore รูปแบบ Butterfly ที่สมบูรณ์แบบ คือ เส้น AB อยู่ทีระดับ .768 ของเส้น XA และ เส้น Butterfly จะมีลักษณะดังนี้:

1. เส้น AB ควรจะอยู่ที่ระดับ .786 ของเส้น XA
2. เส้น BC ควรจะอยู่ที่ระดับ .382 หรือ .886 ของเส้น AB
3. ถ้าเส้น BC อยู่ที่ระดับ .382 ของเส้น AB ดังนั้น เส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.618 ของ เส้น BC extension และถ้า เส้น BC อยู่ที่ .886 ของเส้น AB ดังนั้นเส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 2.168 ของเส้น BC extension
4. เส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.27 หรือ 1.618 ของเส้น XA extension

3 ขั้นตอนในการเทรดโดยใช้รูปแบบราคาแบบ Harmonic
สิ่ง ที่คุณได้รู้ จากบทความนี้ เราจะทำกำไรได้จากการเทรดแบบ ฮาร์โมนิค ได้ก็ต่อเมื่อ เราสามารถระบุ การเกิดรูปแบบอย่างสมบูรณ์แบบ และส่งออร์เดอร์เมื่อมันเกิดรูปแบบที่สมบูรณ์แล้ว

มีขั้นตอนพื้นฐาน 3 ขั้นตอน ในการระบุการเกิดของรูปแบบทิศทางราคาแบบ Harmonic
- ขั้นที่ 1 ระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic
- ขั้นที่ 2 ประเมินรูปแบบ Harmonic ว่าอยู่ในระดับใด(Fibonacci)
- ขั้นที่ 3 ส่งออร์เดอร์ Buy หรือ sell หลังจากที่รูปแบบ Harmonic เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว

ตามขั้นตอนดังกล่าว คุณสามารถระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic ที่มีความน่าจะเป็นสูง ในการทำกำไรได้

ขั้นที่ 1: ระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic

 ดู เหมือนรูปแบบ Harmonic ขึ้นมาบ้างรึไม่ และ ณ จุดนี้ เราไม่แน่ใจว่ามันเป็นรูปแบบอะไร มันเหมือนรูปแบบ three drive แต่ว่าอาจจะเป็นรูปแบบ Bat หรือ Crab อีกก็เป็นได้ หรือ อาจจะเป็นกวางมูส ก็ได้

เรามาหาจุดกลับตัว

ขั้นที่ 2: ประเมินรูปแบบ Harmonic ว่าอยู่ในระดับใด (Fibonacci) ใช้เครื่องมือ Fibonacci

1. เส้น BC อยู่ที่ระดับ .618 ของเส้น AB
2. เส้น CD อยู่ที่ระดับ 1.272 extension ของเส้น BC
3. ความยาวของเส้น AB จะมีความยาวใกล้เคียงกับความยาวของเส้น CD

รูปแบบนี้ จะทำให้เกิดรูปแบบ ตลาดกระทิง ABCD ซึ่งเป็นสัญญาณให้เราซื้อ

ขั้นที่ 3: ส่งออร์เดอร์ Buy หรือ sell หลังจากที่รูปแบบ Harmonic เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว


 หลังจากที่ เกิดรูปแบบราคาแล้ว สิ่งที่จะต้องทำ คือ ส่งออร์เดอร์ให้ถูกทาง ไม่ว่าจะเป็น Buy หรือ Sell
ใน กรณีนี้ ควรจะซื้อที่จุด D ซึ่งอยู่ที่ 1.272 ของเส้น Fibonacci extension ของเส้น CB และใส่ stop loss ให้ต่ำกว่าราคาที่ส่งออร์เดอร์เล็กน้อย

ง่ายไปหน่อยไหม ? ไม่อย่างนั้นเสมอไป

ปัญหา ของรูปแบบ Harmonic คือ ยากที่จะระบุจุดที่มันเกิดได้ ยากที่จะระบุประเภทของมันได้ นอกจากคุณ จะเข้าใจขั้นตอนในการวิเคราะห์ต่าง ๆ และ ต้องมีสายตาเฉียบคม ในการระบุการเกิดรูปแบบฮาร์โมนิค และต้องอดทน เพื่อไม่ให้ตัวเองเขาไปในช่วงที่รูปแบบ Harmonic จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว

ทิศทางราคารูปแบบ Harmonic ทำให้เราบอกได้ว่า จุดไหนที่เทรนด์จะไปต่อ หรือจะเกิดจุดกลับตัว

รูปแบบทิศทางราคาแบบ Harmonic มี 6 แบบ :
- รูปแบบ ABCD
- รูปแบบ Three-Drive
- รูปแบบ Gartley
- รูปแบบ Crab (ปู)
- รูปแบบ Bat (ค้างคาว)
- รูปแบบ Butterfly (ผีเสื้อ)

ขั้นตอนพื้นฐาน ในการระบุการเกิดรูปแบบทิศทางราคาแบบ Harmonic มีดังนี้
- ขั้นที่ 1: ระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic
- ขั้นที่ 2: ประเมินรูปแบบ Harmonic ว่าอยู่ในระดับใด(Fibonacci)
- ขั้นที่ 3: ส่งออร์เดอร์ Buy หรือ sell หลังจากที่รูปแบบ Harmonic เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว

รูป แบบ Harmonic จะมีความสมบูรณ์แบบเพียงใด มันยากในการระบุ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าขั้นตอนพื้นฐานเหล่านี้ คือ คุณต้องมีสายตาที่เฉียบคม ในการระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic และมีความอดทน ในการที่จะไม่เข้าตลาด ก่อนที่รูปแบบHarmonic จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/harmonic/?/

Thursday, October 23, 2014

แง่คิดดีๆ การเก็บเงิน

แง่คิดดี ๆ การเก็บเงิน
วัยเยาว์
   ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...ฉันยังเด็กเกินไปที่จะคิด
   ชีวิตฉันเพิ่งเริ่มต้น ทุกวันนี้ยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่
   และฉันไม่เหลือพอที่จะเก็บ ฉันกำลังเล่นสนุก
   วันหนึ่งเมื่อฉันโตขึ้นฉันจะเก็บเงิน
  
วัยรุ่น
   ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...ฉันยังเรียนหนังสืออยู่
   พ่อแม่ให้เงินสำหรับพอใช้ในแต่ละวันเท่านั้น
   ฉันยังเก็บเงินไม่ได้หรอก
   นอกจากนั้นฉันยังมีเรื่องอื่นๆ
   ที่ต้องใช้เงินอีกเมื่อฉันเรียนจบ
   และถ้าฉันหาเงินได้เอง ฉันจึงจะเก็บ
  
วัย 20
   ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...ฉันเพิ่งเรียนจบ
   ขอเวลาฉันได้พักสมองบ้าง
   และฉันยังไม่พร้อมที่จะผูกมัดเรื่องนี้
   ฉันยังต้องการแสวงหาความสนุก
   ในขณะที่ฉันสามารถทำได้
   ยังมีเวลาเหลืออีกมากที่จะคิด
   ถึงตอนนั้นเมื่อฉันพร้อมฉันก็จะเก็บ
  
วัย 30
   ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
   ฉันเพิ่งมีครอบครัวและต้องรับผิดชอบหลายอย่าง
   ค่าใช้จ่ายลูกเดี๋ยวนี้แพงเหลือเกิน
   และฉันยังต้องผ่อนหนี้เงินกู้บ้านอีกด้วย
   ทุกวันนี้แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว
   ถ้าวันข้างหน้าฉันหาเงินได้มากกว่านี้
   และลูกๆ โตแล้ว ฉันจึงจะเก็บ
  
วัย 40
   ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
   ลูกฉันเริ่มเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย
   เดี๋ยวนี้ค่าหน่วยกิตและค่าต่างๆ แพงมาก
   ไหนยังต้องผ่อนหนี้เงินกู้ที่ซื้อรถยนต์ให้ลูกอีก
   ฉันกลัวพวกเขาลำบาก
   ตอนนี้ยอมรับว่าค่าใช้จ่ายสูงจริงๆ
   และเป็นเวลาที่ยากที่จะเก็บเงิน
   แต่อีกสักระยะเมื่อพวกเขาเรียนจบ การเงินคงจะคล่องตัวขึ้น
   ถึงตอนนั้นฉันจึงจะเก็บ
  
วัย 50
   ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
   ตอนนี้ลูกๆเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลายคนกำลังจะแต่งงาน
   ฉันอยากให้พวกเขาเริ่มต้นชีวิตที่ดี
   นอกจากนี้ฉันยังต้องไปช่วยญาติบางคน
   ซึ่งตอนนี้พวกเขากำลังต้องการความช่วยเหลือ
   เหตุการณ์มันไม่ได้เป็นไปตามที่ฉันคิดไว้เลย มันติดขัดไปหมด
   โชคดีเมื่อไหร่ฉันคงจะเก็บเงินได้
  
วัย 60
   ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
   ฉันนึกว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น
   ฉันอยากเกษียณอายุก่อน แต่ฉันไม่สามารถทำได้
   ฉันกำลังพยายามจ่ายเงินติดค้างจำนองบ้านที่เหลือ
   และหนี้สินอื่นๆ
   แต่ทุกอย่างยังประดังเข้ามา ไหนจะลูกเอยหลานเอย
   ไอ้โน่นไอ้นี่มาลงที่ตัวฉันหมด
   ถ้าภาระฉันหมดเมื่อไร ฉันภาวนาว่าฉันน่าจะเก็บได้
  
วัย 70
   ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
   ฉันแก่เกินไปที่จะเก็บ เงินบำนาญของฉันก็มีไม่มากพอ
   บิลค่ายาและค่าดูแลรักษาพยาบาลระยะยาว
   ทำให้ฉันเป็นห่วงอยู่
   ฉันไม่อยากไปเป็นภาระของลูกๆ เขา
   ฉันน่าจะเก็บตอนที่ฉันมีและควรเก็บได้
   ตอนนี้มันสายเกินไป......ฉันไม่สามาถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้จริงๆ....

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t561/?/

Wednesday, October 22, 2014

Type Of Order
ประเภทของคำสั่งรายการเทรด
โดยทั่วไปแล้วโบรกเกอร์จะมีคำสั่งรายการพวกนี้จัดเตรียมไว้ให้คุณอยู่แล้ว แต่มีบางโบรกเกอร์ที่ออเดอร์แปลกประหลาดต่างจากที่อื่น

พื้นฐานของออเดอร์ที่โบรกเกอร์ทั้งหมดต้องมี

1. Market Order

มา เก็ตออเดอร์คือออเดอร์ที่  buy หรือ Sell ในราคาของตลาดปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น EUR/USD ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1.2800ถ้าคุณต้องการ Buy ที่ราคานี้ คุณก็คลิก Buy  แล้วคุณก็จะได้ราคานี้ทันที

2.Limit order

ลิ มิตออเดอร์คือ ออเดอร์ที่ถูกแทนที่ด้วย Buy หรือ Sell ในราคาล่วงหน้า (ตั้งสวนนั่นเอง ) ตัวอย่างเช่น ถ้าตอนนี้ราคาของ EUR/USD อยู่ที่ 1.2800 คุณต้องการตั้งสวน Buy ที่ 1.2780 คุณต้องใช้ คำสั่ง Buy Limit เมื่อราคาลงไปถึง 1.2780 ไปชนออเดอร์ของคุณ คุณก็จะได้ราคานี้ทันที

3.Stop order
สต๊ อบออเดอร์ คือออเดอร์ที่ถูกแทนที่ด้วย Buy หรือ Sell ในราคาล่วงหน้าเช่นกัน แต่ไม่ได้ตั้งสวนนะ แต่เป็นการตั้งตามแนวโน้มมากกว่า ตัวอย่างเช่น ตอนนี้ EUR/USD ราคาอยู่ที่ 1.2800 แล้วคุณต้องการ Buy เมื่อราคาสามารถทะลุแนวต้านที่ 1.2820 คุณก็อาจจะไปตั้ง Buy Stop ที่ราคา 1.2820 ถ้าราคาผ่าน 1.2820 ได้ ราคาก็จะไปชน Limit order ของคุณ

4. Stop -Loss
จุดหยุดการขาดทุน
เมื่อ คุณได้ทำการเข้าออเดอร์ไว้แล้ว แล้วไม่มีเวลาอยู่หน้าจอ ต้องออกไปข้างนอก Stop loss สามารถช่วยคุณได้  ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณBuy EUR/USD ที่ 1.2820 คุณต้องการที่จะหยุดขาดทุนที่ 20 pips คุณก็สามารถตั้ง Stop loss ได้ที่ราคา 1.2800  เมื่อราคาลงมาถึง 1.2800 ออเดอร์ของคุณก็จะหยุดทันที สต๊อบลอสสามารถช่วยให้หยุดการขาดทุนของคุณได้ ช่วยให้เงินของคุณไม่หมดพอร์ต

5. Target
ทา เก็ตคือ ราคาเป้าหมาย หรือกำไรที่คุณต้องการ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการกำไรจาก Order Buy ที่ราคา 1.2820  โดยหวังกำไรจากรายการนี้ 20 pips คุณก็ตั้ง Target ไว้ที่ 1.2840
การตั้ง Stop loss และ Target ช่วยให้คุณมีวินัยในการเทรดมากขึ้น


ประเภทออเดอร์แบบอื่นๆ

1.GTC(Good'til canceled)

คำ สั่งแบบ GTC เป็นคำสั่งที่ยังคงแอคทิฟจนกระทั่งคุณได้ตัดสินใจยกเลิกมัน โบรกเกอร์ของคุณจะไม่ยกเลิกให้คุณ ดังนั้น นี่เป็นความรับผิดชอบของคุณที่คุณได้กำหนดชนิดไว้แล้ว

2.GFD(Good for the day)
คำ สั่งแบบ GFD จะยังคงแอคทิฟจนกระทั่งตลาดปิด วันต่อวันเท่านั้น ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ของคุณว่ากำหนด ราคาของวันนั้นๆ จะสิ้นสุดกี่โมง เพื่อเริ่มวันใหม่ ต้องตรวจสอบกับทางโบรกเกอร์ของคุณด้วย

3.OCO (Order cancels other)
คำสั่งแบบ OCO จะรวมระหว่าง Limit และ Stop โดยตั้งไว้ที่ด้านบนและด้านล่างของราคาปัจจุบัน

คำสั่งเหล่านี้จะมีเฉพาะบางโบรกเกอร์เท่านั่น  เพราะฉะนั้นคุณควรจะรู้คำสั่งพื้นฐานเอาไว้


ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.forexbuddytrader.com
 
ที่มา:thaiforexschool.com/index.php?topic=8.0

Friday, October 10, 2014

มารู้จักโบรเกอร์ Exness สำหรับเทรด Forex กันเถอะ!

EXNESS ได้รับการก่อตั้งขึ้นปี 2008 ในเมืองเซนต์ ปีเตอร์เบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย



Exness มีความความซื่อสัตย์ยุติธรรม การเปิดเผย โปร่งใส และยังได้รับใบรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2008 รวมถึงได้รับรางวัลโบรกเกอร์ที่ดีที่สุดในเอเชีย ปี 2012 โบรกเกอร์ Forex ดีเด่นในรัสเซีย 2011 โบรกเกอร์ Forex มาตรฐานดีเด่นแห่งเอเชีย 2012 โบรกเกอร์ Forex ดีเด่นในรัสเซีย 2012 โบรกเกอร์ Forex ดีเด่นในตะวันออกกลาง 2012 

Exness ให้ บริการซื้อขายออนไลน์ Forex คู่สกุลเงินรวม 134 คู่ รวมทั้ง CFD ในตลาดหุ้น และ CFD ในฟิวเจอร์ สามารถกำหนด Leverage ได้สูงสุดถึง 1:2000 ซึ่งมากกว่าโบรเกอรือื่นถึง 5 เท่า

Exness รองรับระบบการชำระเงินฝาก-ถอนผ่าน เงินจะเข้าในบัญชีเทรดของคุณทันที
ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์
    - Skrill (Moneybookers)
    - Liberty Reserve
    - Webmoney
    - CashU
    - Pecunix
    - Perfect Money
    - C-Gold
    - MoneyMail
    - RBK Money
    - QIWI
บัตรเครดิต Visa และ MasterCard
สำหรับในประเทศไทยสามารถใช้บริการได้ผ่านทาง เคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือธนาคารออนไลน์

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.forexbuddytrader.com

แผนการเทรด 3 ปี Admin Thaiforexschool.com

แผนการเทรด  3 ปี  ทำให้ได้ครับ เทรดให้ได้วันละ  10 จุดนั้นไม่ยากหรอกครับ   มันขึ้นอยู่กับว่า คุณมีวินัยและความอดทนได้มากแค่ไหนครับ ต้นๆปี 2015 ถ้าสำเร็จ พวกเรา มาร่วมฉลองความสำเร็จด้วยกันครับ โชคดีครับทุกท่าน



วิธีที่จะเทรดให้ได้กำไรไม่มีให้ครับ หาด้วยตัวเองครับแต่จะมีกฎและข้อบังคับในการเทรดให้ครับ
1. ถ้าเปิดออเดอร์แรก แล้วเข้าเป้า ให้เลิกทันที ( เป้าหมายไม่จำเป็นต้องวันละ 10 จุด อาจจะมากกว่านั้นก็ได้ )
2.ถ้าเปิดออเดอร์แรก แล้ว โดน Stop Loss ให้รอจังหวะและหาโอกาสเปิดออเดอร์ที่ 2
  2.1 ถ้าออเดอร์ที่ 2  โดน Stop Loss ให้หยุดทันที
  2.2 ถ้าออเดอร์ที่ 2 เข้าเป้าให้โอกาสตัวเองอีก 1 ครั้ง ในครั้งที่ 3
หมายเหตุ .. ถ้าออเดอร์ที่ 2 ได้กำไรมากกว่าที่เสียในออเดอร์แรก ก็ให้หยุดทันทีครับ
3. ไม่ว่าออเดอร์ที่ 3 จะเข้าเป้า หรือ โดน Stop Loss ก็ต้องหยุดทันทีครับ

อย่าลืมนะครับ ว่า Volume lot ที่ใช้เทรด ต้องเอา Balance/10000 นะครับ  ผม เชื่อว่าถ้าพวกคุณและผมทำตามกฎนี้ไปเรื่อยๆ เราจะไม่ชนะตลาดนี้หรอกครับ แต่เราจะมีเงินจากตลาดแห่งนี้ที่คนส่วนใหญ่บอกว่าเป็นตลาดที่มีความเสี่ยง สูง

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/3-admin-thaiforexschool-com/?/

Tuesday, October 7, 2014

ทฤษฎีดาวถูกคิดค้นขึ้นโดยนายชาร์ลส์ เอช ดาว (Charles H. Dow) หรือบิดาแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค

ทฤษฎีดาวถูกคิดค้นขึ้นโดยนายชาร์ลส์ เอช ดาว (Charles H. Dow) ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค เมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว แต่กฏ และหลักการของดาว ยังคงใช้ได้ตราบจนถึงปัจจุบัน หลักการนี้มิได้พูดถึงเพียงการวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือ การเคลื่อนที่ของราคาหุ้น แต่สิ่งนี้ถือเป็นปรัญญาของตลาดหุ้น ที่อธิบายถึงพฤติกรรมของตลาดหุ้นที่ยังคงเหมือนเดิม เกิดขึ้นซ้ำๆเฉกเช่นเดียวกัน กับตลาดหุ้นเมื่อ 100ปีที่แล้ว



ดาว ได้พัฒนา การวิเคราะห์ตลาดหุ้น จนเกิดเป็นทฤษฏีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จนกระทั่งเขาได้เสียชีวิตในปี 1902  ซึ่งเขาเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของ และเป็นบรรณาธิการของ หนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal แม้ว่าเขาจะไม่ได้เขียนหนังสือของตัวเองก็ตาม แต่เขาก็ได้เป็นบรรณาธิการให้กับหนังสือ หลายเล่มในการ ให้ความเห็นด้านการเก็งกำไร และ กฎ industrial average
หลังจากที่ดาว เสียชีวิตแล้ว ก็มี หนังสือที่อธิบายเกี่ยวกับทฎษฎีของเขามากมายเช่น The ABC of Stock Speculation, The Stock Market Barometer เป็นต้น

ทฤษฎีดาว (Dow Theory)
ตลาดขาขึ้น – ขั้นที่ 1 – สะสม
ฮา มิลตัน (Hamilton) กล่าวไว้ว่าในช่วงแรกของตลาดขาขึ้นมักจะไม่แตกต่างจากตลาดในช่วงขาลง เพราะคนส่วนยังมองในแง่ลบและทำให้แรงซื้อยังคงชนะแรงขายในช่วงแรกของขา ขึ้น  ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ไม่มีใครถือหุ้น  ประกอบกับไม่มีข่าวดี ทำให้ราคาประเมินของหลักทรัพย์ถึงจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์  อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาเช่นนี้เป็นช่วงที่ผู้ที่ลงทุนอย่างฉลาดจะเริ่มสะสมหุ้น  และเป็น ช่วงที่ผู้ที่มีความอดทนและใจเย็นพอที่จะเห็นประโยชน์ของการเก็บหุ้นไว้จน กระทั่งราคาดีดกลับ  บางครั้งหุ้นมีราคาถูก แต่กลับไม่มีใครต้องการ  ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่  วอเรน บัฟเฟท ได้กล่าวไว้ในช่วงฤดูร้อนของปี 1974 ว่าตอนนี้ได้เวลาที่จะซื้อหุ้นแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ในระยะแรกของตลาดขาขึ้น  ราคาหุ้นจะเริ่มเข้าใกล้จุดต่ำสุด แล้วค่อยๆยกตัวขึ้น เมื่อตลาดเริ่มกลับตัวขึ้น คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าตลาดกำลังจะปรับตัวขึ้น และเป็นการเริ่มต้นของขาขึ้น  หลังจากตลาดยกตัวสูงขึ้นและดิ่งกลับลงมา  จะ มีแรงขายออกมา เป็นการบอกว่าขาลงยังไม่สิ้นสุด  ในช่วงนี้เองที่จะต้องวิเคราะห์อย่างระมัด ระวังว่าการปรับตัวลงมีนัยยะสำคัญหรือไม่ หากไม่มีนัยยะสำคัญ จุดต่ำสุดของการลงจะยกสูงขึ้นจากจุดต่ำสุดเดิม  สิ่งที่ตามมาคือตลาดจะเริ่ม สะสมตัวและมีการแกว่งตัวน้อย หลังจากนั้นจึงเริ่มปรับตัวสูงขึ้น  และหากราคาเคลื่อนขึ้นเหนือจุดสูงสุด เดิม จะเป็นการยืนยันถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น

ตลาดขาขึ้น – ขั้นที่ 2 – การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
ขั้น ที่ 2 มักจะเป็นช่วงที่มีระยะเวลานานที่สุด และมีการปรับตัวสูงขึ้นมากที่สุด  ระยะเวลานี้จะเป็นช่วงที่กิจการต่างๆ เริ่มฟื้นตัว มูลค่าหลักทรัพย์จะเพิ่มขึ้น  รายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น  ช่วงนี้จึงถือได้ว่าเป็นช่วงที่สามารถทำกำไร ได้ง่ายที่สุด เพราะมีผู้เข้ามาลงทุนตามแนวโน้มของตลาดมากขึ้น

ตลาดขาขึ้น – ขั้นที่ 3 – เกินมูลค่า
ระยะ ที่ 3 ของตลาดขาขึ้น เป็นระยะที่มีการเก็งกำไรมากเกินไป ทำให้เกิดภาวะตลาดเฟ้อ (ดาวได้คิดทฤษฎีนี้ขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีก่อน แต่เหตุการณ์เช่นนี้ยังคงเป็นเรื่องที่คุ้นเคยในปัจจุบัน) ในขั้นสุดท้ายนี้ ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในตลาด  ค่าที่ประเมิน สูงเกินไป  และความมั่นใจมีมากเกินปกติ  จึงเป็นช่วงที่เรียกได้ว่าเป็นส่วน กลับของขั้นที่ 1

ตลาดขาลง – ขั้นที่ 1 – กระจาย
เมื่อ การสะสมเป็นขั้นที่ 1 ของขาขึ้น การกระจายก็คือขั้นแรกของขาลง  นักลงทุนที่ฉลาด จะไหวตัวทันว่าธุรกิจต่างๆ ในปัจจุบันไม่ได้ดีอย่างที่เคยคิด และเริ่มขายหุ้นออก   แต่คนอื่นๆยังคงอยู่ในตลาดและยังพอในที่จะซื้อในราคาที่สูง  จึงเป็นการยาก ที่จะบอกว่าตลาดกำลังเข้าสู่ขาลง  อย่างไรก็ตาม จุดนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการกลับตัว เมื่อตลาดปรับตัวลง คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าตลาดเข้าสู่ขาลง และยังมองตลาดในแง่ดี  ดังนั้นเมื่อตลาดปรับตัวลงพอประมาณ จึงมีแรงซื้อกลับเข้ามาเล็กน้อย  ฮามิลตันกล่าวว่าการกลับตัวขึ้นในช่วงขาลง นี้จะค่อนข้างรวดเร็วและรุนแรง  ดังเช่นที่ฮามิลตันได้วิเคราะห์ไว้เกี่ยว กับการกลับตัวที่ไม่มีนัยยะสำคัญนี้ ว่าส่วนที่ขาดทุนไปจะได้กลับคืนมาในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันหรือสัปดาห์  การ เคลื่อนไหวที่รวดเร็วเช่นนี้เป็นการตอกย้ำว่าขาขึ้นของตลาดยังไม่สิ้น สุด  อย่างไรก็ตาม จะสูงสุดใหม่จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม และหลังจากนั้น หากราคาทะลุผ่านจุดต่ำสุดเดิม นั่นจะเป็นการยืนยันถึงขั้นที่ 2 ของตลาดขาลง

ตลาดขาลง – ขั้นที่ 2 – การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
เช่น เดียวกับตลาดในขาขึ้น ขั้นที่ 2 เป็นขั้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของราคามากที่สุด  ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่แนว โน้มเด่นชัดและกิจการต่างๆเริ่มถดถอย  ประมาณการณ์รายได้และกำไรลดลง หรืออาจถึงขาดทุน   เมื่อผลประกอบการแย่ลง  แรงขายจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตลาดขาลง – ขั้นที่ 3 – สิ้นหวัง
ณ จุดสูงสุดของตลาดขาขึ้น ความคาดหวังมีมากจนถึงขั้นมากเกินไป  ในตลาดขาลงขั้นสุดท้าย ความคาดหวังทั้งหมดหายไป   มูลค่าที่ประเมิน ต่ำมาก  แต่ยังคงมีแรงขายอย่างต่อเนื่อง เพราะทุกคนในตลาดพยายามที่จะถอนตัวออก  มีข่าวร้ายเกี่ยวกับธุรกิจ  มุมมอง เศรษฐกิจตกต่ำ จึงไม่มีผู้ใดต้องการซื้อ  ตลาดจะยังคงลดต่ำลงจนกระทั่งข่าวร้ายทั้งหมดได้ ถูกซึมซับแล้ว  เมื่อราคาสะท้อนถึงผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่ดีต่างๆแล้ว  วัฐ จักรก็จะเริ่มต้นอีกครั้ง

บทสรุปของทฤษฎีดาว
จุดประสงค์ ของดาวและฮามิลตัน คือ การหาจุดเริ่มต้นของแนวโน้ม และ สามารถจับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ได้  พวกเขารู้ดีว่าตลาดถูกขับเคลื่อนโดย อารมณ์ของตลาดและการเกิดปฏิกิริยาเกิน (Overreaction) จริงทั้งในด้านบวกและลบ  พวกเขาจึงมุ่งความสนใจไปที่การมองหาแนวโน้มและ เคลื่อนไหวไปตามแนวโน้ม  แนวโน้มจะยังคงอยู่จนกระทั่งสามารถพิสูจน์ได้แน่ ชัดถึงแนวโน้มใหม่ ทฤษฎีดาวช่วยให้นักลงทุนเรียนรู้ข้อเท็จจริง ไม่ใช่ตั้งข้อสมมติฐานและคาดการณ์ล่วงหน้า  การตั้งข้อสมมติฐานเป็นสิ่งที่ อันตรายสำหรับนักลงทุน  เพราะการคาดเดาตลาดเป็นเรื่องยาก  ฮามิลตันเองยอม รับว่าทฤษฎีดาวนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ  ในขณะที่ทฤษฎีดาวสามารถให้เป็นพื้นฐาน ในการวิเคราะห์  ทฤษฎีนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการพัฒนาแนวทางการ วิเคราะห์ของนักลงทุน การอ่านเกมตลาดเป็นศาสตร์ที่ได้จากประสบการณ์ตรงจากตลาด  ดังนั้นกฎของฮามิ ลตันและดาวจึงมีข้อยกเว้น  พวกเขามีความเชื่อว่าความสำเร็จเกิดจากการศึกษา ที่จริงจังและการวิเคราะห์ที่มีทั้งความสำเร็จและความผิดพลาด  ความสำเร็จ เป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าหลงระเริง  ขณะเดียวกัน ความผิดพลาด ถึงแม้จะเจ็บปวด แต่จะให้บทเรียนที่มีค่า  การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นศิลปะอย่างหนึ่งซึ่ง สามารถพัฒนาได้โดยการฝึกฝน เรียนรู้ทั้งจากความสำเร็จและล้มเหลวด้วยการมองไปข้างหน้า

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/(charles-h-dow)/?/

Sunday, October 5, 2014

การฝากเงินเข้าสู่บัญชีเทรด ด้วยการชำระเงินผ่านธนาคารออนไลน์ในประเทศไทย

การฝากเงินเข้าสู่บัญชีเทรด Forex

1. ไปที่หน้าเว็บไซต์ Exness คลิกเข้าสู่ระบบ ใส่ ID บัญชีเทรด และรหัส เพื่อเข้าสู่ระบบ ตามภาพประกอบ


2. เลือกเมนู เพิ่มเงิน
- ใส่จำนวนเงินที่ต้องการฝาก
- ประเภทการดำเนินการ เลือก การชำระเงินผ่านธนาคารออนไลน์ในประเทศไทย
- สกุลเงิน เลือก THB-บาทไทย
คลิก ทำการฝากเงิน


3. โบรกเกอร์จะคำนวณอัตราแลกเปลี่ยน ณ ปัจจุบัน ระหว่างเงินบาทไทยกับดอลล่าห์
- ตรวจสอบความถูกต้องแล้วคลิกยืนยันการชำระเงิน


4. ระบบจะนำท่านไปสู่ระบบการชำระเงินโดยผ่าน PAYSBUY
- เลือกธนาคารที่ต้องการชำระเงิน
- กรอกข้อมูลส่วนตัว
   * หมายเลขบัตรประชาชน
   * ชื่อ-นามสกุล
   * ที่อยู่ในการจัดส่งเอกสาร
   * เบอร์โทรศัพท์
   * อีเมล์ผู้ชำระเงิน
   * ข้อความถึงผู้ขาย (ตรงนี้ไม่ต้องเปลี่ยนเด็ดขาดนะครับให้ใช้ข้อความที่อยู่ตามนั้นเลย)
- คลิกยอมรับและดำเนินการ
- จะขึ้นความให้เราตรวจสอบอีกครั้ง คลิก ดำเนินการต่อ



5. เข้าสู่ระบบชำระเงินของธนาคารที่ท่านเลือกชำระ ในที่นี้เลือกชำระผ่านธนาคารกรุงเทพ


6. หน้าแสดงข้อมูลการชำระเงิน ระวังนะครับตรวจสอบความถูกต้องให้ดี เลข 0 กี่ตัว จุดทศนิยมกี่จุด
- คลิกขั้นตอนต่อไป


7. ใส่เลข OTP ที่ได้รับทางโทรศัพท์เพื่อยืนยันการชำระเงิน แล้วคลิกยืนยัน


8. เป็นอันเสร็จสิ้นการฝากเงินเข้าบัญชีเทรด Exness ด้วยการชำระเงินผ่านธนาคารออนไลน์ในประเทศไทย




ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://siammetatrader.com/

Thursday, October 2, 2014

การเทรด Forex Exness แบบยั่งยืน

การรเทรด Forex ให้ได้กำไร  มีองค์ประกอบ 3 อย่าง ที่จะทำให้มีกำไรในการเทรด Forex แบบยั่งยืน

1. Forex Trading System (ระบบเทรด) มีความสำคัญ 10%
เพื่อนๆ ควรหาระบบเทรด ที่เหมาะสมกับตัวเองให้เจอ ควรเป็นระบบที่ทน Drawdown ได้ ที่สำคัญเมื่อมีระบบแล้วก็ต้องทำตามให้ได้

2. Money Management (การบริหารเงิน) มีความสำคัญ 30%
เมื่อ มีระบบเทรดแล้ว Money Management ก็จะปรากฎให้เห็นเอง ว่าเราจะจัดการกับเงินทุนยังไง ให้เหมาะสมกับข้อมูลระบบเทรดที่มี เช่น เรามีข้อมูลว่าระบบของเรามีโอกาศเสียติดๆ กัน เราก็ต้องลงเงินในจำนวน % น้อยๆ มี Stop loss อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อจะทำให้ไม่ทำให้พอร์ตเสียหายมาก

3. Psychology (จิตวิทยา) มีความสำคัญ 60%
ในการเทรด Forex การ ควบคุมจิตใจ ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการเทรดให้กำไรแบบยั่งยืนได้เลยที่เดียว ต่อให้เพื่อนๆ มีสองข้อแรกดีแค่ใหน ถ้าขาดการควบคุมจิตใจไปก็ไม่สามารถจะเทรดให้กำไรแบบยั่งยืนได้ ตัวที่เด่นๆ คือ ความโลภ กับความกลัว รองลงมาคือ ความมั่นใจเกินไป

ตัวอย่างเช่น เมื่อมีกำไรก็เกิดความโลภ เพิ่ม Positions มากขึ้น พอตลาดเปลี่ยนทิศก็ขาดทุนมาก พอขาดทุนก็เกิดความกลัว ลด Positions ลง พอตลาดถูกทิศก็กำไรน้อย (ไม่ทำตามกฎ Money Management ที่ได้วางไว้)

หรือ ราคาวิ่งเลยจุดเข้าไปไกลแล้ว แต่เกิดความโลภ เห็นราคาไหลจึงรีบเข้ากลางทาง พอตลาดเปลี่ยนทิศก็ขาดทุนมาก พอขาดทุนก็เกิดความกลัวพอระบบให้สัญญาณในครังต่อไปก็ไม่กล้าเปิดคำสั่งซื้อ ขาย พอตลาดถูกทิศก็ไม่มีกำไร (ไม่ทำตามระบบเทรด forex ที่ได้วางไว้)

หรือ เทรดได้ติดๆ กันหลายครั้งทำให้เกิดความมั่นใจเกินไป เพิ่ม Positions มากขึ้น โดยไม่ทำตามกฎ Money Management ที่ได้วางไว้ พอตลาดเปลี่ยนทิศก็คืนกำไรที่ได้มาไปจนหมดในครั้งเดียว

ดังนั้นเพื่อนๆ ที่ซื้อขายเอาไว้ตามระบบก็คอยออกตามระบบ ใครที่ตกรถก็นั่งดูไปก่อน อย่าเข้ามาในตลาดขณะที่ไม่ใช่เวลาซื้อขาย

เล่น forex แบบสบายๆ มีสัญญาณซื้อก็ซื้อ มีสัญญาณขายก็ขาย พยายามอย่าคิดมาก เล่นตามระบบที่วางไว้ แล้วทำกำไรตามระบบ ไปเรื่อยๆดีกว่า

ข้อสำคัญที่สุดคือมีวินัยในการ Stop loss เพราะถ้าหากคาดการผิด จะได้ไม่เสียหายมาก แต่ถ้าถูกทาง ก็ Let profit run

"อยู่รอดให้ได้ก่อนแล้วค่อยทำกำไร"

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-exness/?/

Wednesday, September 24, 2014

รวม ตัวอักษรย่อของเงินแต่ละสกุล

1. AED เดอร์แฮมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
2. AFN อัฟกานีอัฟกานิสถาน
3. ALL เลกแอลเบเนีย
4. AMD แดรมอาร์เมเนีย
5. ANG กิลเดอร์เนเธอร์แลนด์แอนทิลลิส
6. AOA ควันซาแองโกลา
7. ARS เปโซอาร์เจนตินา
8. AUD ดอลลาร์ออสเตรเลีย
9. AWG กิลเดอร์อารูบา
10. AZM มานัตอาเซอร์ไบจาน
11. BAM มาร์กคอนเวอร์ทิเบิลบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
12. BBD ดอลลาร์บาร์เบโดส
13. BDT ตากาบังกลาเทศ
14. BGN เลฟบัลแกเรีย
15. BHD ดีนาร์บาห์เรน
16. BIF ฟรังก์บุรุนดี
17. BMD ดอลลาร์เบอร์มิวดา
18. BND ดอลลาร์บรูไน
19. BOB โบลีเวียโนโบลิเวีย
20. BOV Bolivian Mvdol (Funds code)
21. BRL เรียลบราซิล
22. BSD ดอลลาร์บาฮามาส
23. BTN เอ็งกุลตรัมภูฏาน
24. BWP ปูลาบอตสวานา
25. BYR รูเบิลเบลารุส
26. BZD ดอลลาร์เบลีซ
27. CAD ดอลลาร์แคนาดา
28. CDF ฟรังก์คองโก
29. CHF ฟรังก์สวิส
30. CLF Chilean Unidades de fomento (Funds code)
31. CLP เปโซชิลี
32. CNY หยวนเหรินหมินปี้ (สาธารณรัฐประชาชนจีน)
33. COP เปโซโคลอมเบีย
34. COU Colombian unidad de valor real (added to the COP)
35. CRC โกลองคอสตาริกา
36. CSD ดีนาร์เซอร์เบีย
37. CUC Cuban convertible peso (replaced USD as additional national currency in November 2004)
38. CUP เปโซคิวบา (still in use)
39. CVE เอสคูโดเคปเวิร์ด
40. CYP ปอนด์ไซปรัส
41. CZK โครูนาเช็ก
42. DJF ฟรังก์จิบูตี
43. DKK โครนเดนมาร์ก
44. DOP เปโซโดมินิกัน
45. DZD ดีนาร์แอลจีเรีย
46. EEK ครูนเอสโตเนีย
47. EGP ปอนด์อียิปต์
48. ERN แนกฟาเอริเทรีย
49. ETB เบอร์เอธิโอเปีย
50. EUR ยูโร
51. FJD ดอลลาร์ฟิจิ
52. FKP ปอนด์หมู่เกาะฟอล์กแลนด์
53. GBP ปอนด์สเตอร์ลิง (สหราชอาณาจักร)
54. GEL ลารีจอร์เจีย
55. GHC เซดีกานา
56. GIP ปอนด์ยิบรอลตาร์
57. GMD ดาลาซีแกมเบีย
58. GNF francGuinea
59. GTQ Guatemalan quetzal
60. GYD ดอลลาร์กายอานา
61. HKD ดอลลาร์ฮ่องกง
62. HNL Honduran lempira
63. HRK Croatian kuna
64. HTG กูร์ดเฮติ
65. HUF ฟอรินต์ฮังการี
66. IDR รูเปียห์อินโดนีเซีย
67. ILS เชเกลอิสราเอล
68. INR รูปีอินเดีย
69. IQD ดีนาร์อิรัก
70. IRR เรียลอิหร่าน
71. ISK โครนาไอซ์แลนด์
72. JMD ดอลลาร์จาเมกา
73. JOD ดีนาร์จอร์แดน
74. JPY เยนญี่ปุ่น
75. KES ชิลลิงเคนยา
76. KGS ซอมคีร์กีซสถาน
77. KHR เรียลกัใพชา
78. KMF ฟรังก์คอโมโรส
79. KPW วอนเกาหลีเหนือ
80. KRW วอนเกาหลีใต้
81. KWD ดีนาร์คูเวต
82. KYD ดอลลาร์หมู่เกาะเคย์แมน
83. KZT เทงเจคาซัคสถาน
84. LAK กีบลาว
85. LBP ปอนด์เลบานอน
86. LKR รูปีศรีลังกา
87. LRD ดอลลาร์ไลบีเรีย
88. LSL โลตีเลโซโท
89. LTL ลีตัสลิทัวเนีย
90. LVL ลัตลัตเวีย
91. LYD ดีนาร์ลิเบีย
92. MAD เดอร์แฮมโมร็อกโก
93. MDL ลิวมอลโดวา
94. MGA อะเรียรีมาดากัสการ์
95. MKD เดนาร์มาซิโดเนีย
96. MMK จ๊าดพม่า
97. MNT ทูกริกมองโกเลีย
98. MOP ปาตากามาเก๊า
99. MRO อูกียามอริเตเนีย
100. MTL ลีรามอลตา
101. MUR รูปีมอริเชียส
102. MVR Maldives rufiyaa
103. MWK Malawi kwacha
104. MXN เปโซเม็กซิโก
105. MXV Mexican Unidad de Inversión (UDI) (Funds code)
106. MYR ริงกิตมาเลเซีย
107. MZM Mozambique metical
108. NAD ดอลลาร์นามิเบีย
109. NGN Nigerian naira
110. NIO Nicaraguan córdoba
111. NOK โครนนอร์เวย์
112. NPR รูปีเนปาล
113. NZD ดอลลาร์นิวซีแลนด์
114. OMR Omani rial
115. PAB Panamanian balboa
116. PEN Peruvian nuevo sol
117. PGK Papua New Guinea kina
118. PHP เปโซฟิลิปปินส์
119. PKR รูปีปากีสถาน
120. PLN ซวอตีโปแลนด์
121. PYG Paraguayan guaraní
122. QAR Qatari rial
123. RON ลิวโรมาเนีย
124. RUB Russian ruble
125. RWF Rwandan franc
126. SAR Saudi Arabian riyal
127. SBD ดอลลาร์หมู่เกาะโซโลมอน
128. SCR รูปีเซเชลส์
129. SDD Sudanese dinar
130. SEK Swedish krona
131. SGD ดอลลาร์สิงคโปร์
132. SHP ปอนด์เซนต์เฮเลนา
133. SIT Slovene tolar
134. SKK Slovak koruna
135. SLL Sierra Leonean leone
136. SOS Somali shilling
137. SRD ดอลลาร์ซูรินาเม
138. STD São Tomé and Príncipe dobra
139. SYP ปอนด์ซีเรีย
140. SZL ลิลังเจนีสวาซิแลนด์
141. THB บาทไทย
142. TJS โซโมนีทาจิกิสถาน
143. TMM มานัตเติร์กเมนิสถาน
144. TND Tunisian dinar
145. TOP Tongan Pa'anga
146. TRY ลีราตุรกี
147. TTD ดอลลาร์ตรินิแดดและโตเบโก
148. TWD ดอลลาร์ไต้หวัน
149. TZS ชิลลิงแทนซาเนีย
150. UAH ฮริฟเนียยูเครน
151. UGX ชิลลิงยูกันดา
152. USD ดอลลาร์สหรัฐ
153. USN United States dollar (Next day) (Funds code)
154. USS United States dollar (Same day) (Funds code) (one source claims it is no longer used, but it is still on the ISO 4217-MA list)
155. UYU เปโซอุรุกวัย
156. UZS ซอมอุซเบกิสถาน
157. VEB โบลีวาร์เวเนซุเอลา
158. VND ดองเวียตนาม
159. VUV วาตูวานูอาตู
160. WST Samoa Tala
161. XAF CFA franc BEAC
162. XAG Silver ounce
163. XAU Gold ounce
164. XBA European Composite Unit (EURCO) (Bonds market unit)
165. XBB European Monetary Unit (E.M.U.-6) (Bonds market unit)
166. XBC European Unit of Account 9 (E.U.A.-9) (Bonds market unit)
167. XBD European Unit of Account 17 (E.U.A.-17) (Bonds market unit)
168. XCD ดอลลาร์แคริบเบียนตะวันออก
169. XDR Special Drawing Rights (IMF)
170. XFO Gold-franc (Special settlement currency)
171. XFU UIC franc (Special settlement currency)
172. XOF CFA franc BCEAO
173. XPD Palladium ounce
174. XPF CFP franc
175. XPT Platinum ounce
176. XTS Code reserved for testing purposes
177. XXX No currency
178. YER เรียลเยเมน
179. ZAR แรนด์แอฟริกาใต้
180. ZMK ควาชาแซมเบีย
181. ZWD ดอลลาร์ซิมบับเว

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่   http://www.thaibestforex.com/forex/t588/?/

Tuesday, September 23, 2014

มีทุนน้อยจะลงทุนใน Forex อย่างไรดี?

- จากที่เราสั่งซื้อด้วยเงินเพียง $1 ของเราเอง กำไรมันน้อยนิดมาก ขนาด +50 จุดยังทำเงินได้ 17 สตางค์เอง หากเราอยากทำกำไรเยอะๆ เช่น pip ละ $1 (50 pip ก็คือ $50) เราต้องสั่งเทรดถึง $10,000 เลยทีเดียว มีทุนไม่พอแน่ ทำไงดี ตรงนี้แหล่ะคjtที่ Leverage เข้ามามีผล Leverage มีผลกับการ เทรด Forex อย่างไร เรามาดูกัน

มารู้จัก Leverage กันค่ะ
- Leverage 1:100 แปลว่า เราใช้ทุนของเราเองเพียง 1 เพื่อสั่งซื้อ-ขาย 100 เช่น เราจะสั่งซื้อ EUR มาถือไว้ โดยจะซื้อที่ราคา 1.3502 จำนวน 100 USD (คือได้มา 74.0631 EUR) เราไม่ต้องใช้ 100 USD ค่ะ เราจะใช้เพียง 1 USD เพื่อแลก 74.0631 EUR มาถือไว้ ซึ่งเมื่อเราขายคืนไปที่ 1.3552 หรือกำไรมา 0.0050 แทนที่เราจะกำไรแค่ นั้น จะกลายเป็นว่าเราจะทำกำไรได้ 0.50 usd แปลว่าเราสามารถทำกำไรได้ 50% จากเงินที่เราลง (เราลงเพียง $1 เพื่อทำกำไร $0.50)

- แต่ไม่ต้องห่วงนะค่ะ ว่าเราจะมีเงินพอรึเปล่า เวลามี Leverage แบบนี้ เพราะเวลาเทรดเราจะสั่งเทรดอย่างมาก ไม่เกิน 40% ของทุน (แต่แนะนำที่ 10% ค่ะ จะได้มีเหลือไว้แก้ตัว) เช่นถ้าเรามีทุน $100 เราก็สั่งเทรดเพียง $10 หรือ 10% (แต่เวลาสั่ง $10 คือ 1,000 unit นะค่ะ ที่ Leverage 1:100) 10% ที่ใช้ เราจะเรียกว่า used margin เวลาราคาวิ่งขึ้นหรือลง มันจะมาบวก หรือ ลบ ที่ 90% ที่เหลือ หรือที่เรียกว่า available margin หากเราติดลบไปเรื่อยๆ จน available หมด ระบบจะทำการตัดขาดทุน โดยการปิด order นี้ โดยอัตโนมัติ นั่นคือ โบรกเกอร์จะไม่ยอมขาดทุนแทนเราหรอกค่ะ

- คิดคร่าวๆ คือ เราจะทำกำไร (ขาดทุน) ได้ ประมาณ 1% ต่อ pip จากเงินทุนของเรา (คู่อื่นอาจจะไม่ถึง 1% บางคู่ก็มากกว่า เช่น EUR/GBP ตกประมาณ 2% ค่ะ) นั่น หมายความว่า ด้วยทุนเพียง $100 (3,400 บาท) คุณจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $1 (สั่งเทรด 10,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $10 หรือ 340 บาท (โดยประมาณ) หรือวันละ 10% และด้วยทุนเพียง $1,000 (34,000 บาท) เราจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $10 (สั่งเทรด 100,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $100 หรือ 3,400 บาท หรืออาจจะเริ่มเพียง $1 (34 บาท) โดยจะได้จุดละประมาณ 1 เซ็นต์

- ค่อยๆ สะสมไปก็ได้ค่ะ เพราะมีแล้วคนที่ปั้น $5 จากทุนฟรีที่ Marketiva (โบรกเกอร์) มีให้ ไปเป็น $1,000 ใน 3 เดือน ลอง คิดดูเล่นๆู ล่ะกันค่ะ ถ้าเพียงคุณสามารถทำกำไรได้ 10% ของทุนต่อวัน เพิ่มไปเรื่อยๆ 6 เดือน (120 วันเทรด) จะเป็นเงินเท่าไหร่ จากทุนเพียง $5 เป็น $463,545.34 หรือ 15,765,541.60 บาท ครับ โอ้ววววว พระเจ้าช่วย (ทำได้แค่ 5% ของไอเดียนี้ก็สุดยอดแล้วค่ะ)

- ปกติ EUR/USD จะไม่แรงมาก ทำวันละ 20-30 จุดได้ หากเป็นบางคู่ เช่น GBP/JYP (ทุกวันนี้ผมเล่น GBP/JYP เป็นหลัก เพราะแรง เร้าใจ) ดิฉันเคยทำได้มากสุด +250 จุด เพียงช่วงเวลาที่หลับ (เที่ยงคืน) จนมาถึงเวลาที่ตื่น (7 โมงครึ่ง) หรือ 250% ของเงินทุนที่เทรด

- ที่ FxOpen (โบรกเกอร์) ให้เราสามารถ up Leverage ได้สูงสุดถึง 1:500 นั่นแปลว่า เราใช้ทุนตัวเองเพียง $200 ในการเทรด 100,000 unit (หรือ 1 lot จะได้จุดละ $10) เอง

- แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Leverage ก็เป็นดาบ 2 คม ที่ทั้งทำให้ รวย-จน ได้ในพริบตา Leverage และการที่มันวิ่งขึ้นลงทั้งวัน นี่แหล่ะค่ะ ที่ทำให้ Forex สนุก และเร้าใจ

คุณสามารถลงทุนใน Forex แทนได้ โดยใช้ทุนเริ่มต้นเพียงน้อยนิด มาเริ่มเรียนรู้การลงทุนและทำเงินจาก Forex Trading ได้ที่นี่ และจงจำไว้เสมอว่า "การลงทุนมีความเสี่ยง"

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-592/?/

Thursday, September 18, 2014

12 เรื่อง ที่ต้องรู้ในการเทรด

บทความนี้ ไม่ไใช่เคล็ดลับที่จะช่วย หรือทำให้คุณมีแรงบันดาลใจ แต่เป็น ความจริง เป็นเรื่องที่ใครก็ไม่อยากพูดถึง
เราต้องเรียนรู้ ทั้ง 12 เรื่อง ต่อไปนี้ แล้วจะทำให้คุณ เข้าใกล้ความสำเร็จ มากขึ้น


ทิป 12 เรื่อง ที่ต้องรู้ในการเทรด

1. เรียนรู้พื้นฐาน

เป็น เรื่องที่ต้องพูดถึง พูดถึงนักเทรดหน้าใหม่ มือใหม่ส่วนมากจะมองข้ามการเข้าใจพื้นฐานไป แล้วกระโดดเข้าไปสู่ สงครามอย่างเต็มรูปแบบ แน่นอน มันส่งผลร้ายแรงกับพวกเขา

ถ้าคุณยังเป็นมือใหม่ คุณต้องเรียนรู้พื้นฐานการเทรด !


2. คุณจะไม่รวยเร็ว แต่ประสบการณ์จะทำให้คุณรวย
หาก คุณเข้ามาเทรดเพราะอยากจะรวยเร็ว คุณคือนักเดินทางที่ไม่มีเข็มทิศ อย่ามัวแต่ไร้เดียงสา การเทรดเป็นเรื่อง ของประสบการณ์ ยิ่งคุณมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ คุณก็จะเทรดได้ดียิ่งขึ้น มักมีการถามบ่อย ๆ เช่น คุณทำกำไร 90 จุด ได้ยังไง ผมทำได้แค่ 70 จุด ทั้ง ๆ ที่เทรดเหมือนกัน ? มันเป็นเพราะประสบการณ์ หากเราเทรดมา 5 ปี เป็น นักเทรดที่มีประสิทธิภาพ เราย่อมจะเห็นสิ่งที่มือใหม่ไม่เห็น เพราะใช้ประสบการณ์ เส้นทางของการเป็นเทรดเดอร์ เป็นเส้นทาง ที่ยาว ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวไว้ 1 – 3 ปี กว่าที่เราจะได้กำไรอย่างต่อเนื่อง

จำไว้เสมอว่า Forex ก็เป็นอาชีพหนึ่ง ไม่ใช่หนทางลัดไปสู่การรวยเร็ว


3. ผู้เชี่ยวชาญผู้หลอกลวง

การ ฟังความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัญหาคือ ตลาดเงิน เป็นที่ที่มือใหม่ทุกคน ชอบคิดว่า ตัวเองนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญ และ คนอื่น ๆ อีกมากมาย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีอายุตั้งแต่ 30 – 60 ปีนั้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้ชาย หรือผู้หญิง ที่ชอบใส่สูท จะบอกว่า ตัวเองเป็นนักเทรดมืออาชีพ และขอให้คุณซื้อหนังสือของพวกเขา คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ ล้วนแต่เป็นเทรดเดอร์ที่ล้มเหลว ซึ่งจะทำเงินจาก การสอนผู้อื่นเทรดว่า ทำไมถึงขาดทุน

พวกที่อ้างตัวว่าเป็นมืออาชีพ มักจะเป็น ดังนี้ :
1. ชอบให้ข้อมูลเก่า ๆ ซ้ำ ๆ แล้วก็ไม่เวิร์ค
2. พวกเขามักจะบอกว่าพวกเขาเป็นนักเทรดมืออาชีพที่รวยและพยายามขายหนังสือให้กับคุณ
3. พวกเขาจะบอกถึงสิ่งที่เขาทำได้ เช่น เขาทำเงิน 1 พันเหรียญ ให้กลายเป็น 1 ล้านเหรียญภายใน 1 สัปดาห์ หรืออะไรประมาณนี้
4. พยายามพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นนักเทรดที่ได้กำไร โดยการโพสต์ภาพที่แต่งขึ้นโดย photoshop
5. ชอบใช้คณิตศาสตร์เพื่อให้ตัวเองดูว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ มากกว่าที่เขาเป็นอยู่จริง ตัวอย่างเช่น พูดถึงแต่ออร์เดอร์ที่กำไรหลายครั้ง แต่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงออร์เดอร์ที่ขาดทุน

ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญ หรือมืออาชีพนั้นเป็นเรื่องตลก
ระวังอย่าไปหลงเชื่อสิ่งที่พวกเขาพูด


4. วิเคราะห์ด้วยตัวคุณเอง

ต่อ เนื่องจากข้อ 3 การที่เดินตาม คนอื่น จะทำให้คุณเป็น แกะตาบอด เป้าหมายของคุณ คือการเป็นนักเทรด ที่ ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ตามใคร ซักคน อย่างไม่ลืมหูลืมตา ปล่อยให้เขาจูงจมูก ไม่ว่าจะไปทางไหน ในฐานะ นักเทรด คุณจำเป็นต้องมีวิธีการ ขั้นตอนในการวิเคราะห์ตลาด และสามารถทำการวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ซึ่งจะทำให้ คุณเข้าใกล้ ความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

การวิเคราะห์ด้วยตัวเอง จะทำให้ :
1. ทำให้คุณ เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเอง
2. ได้เรียนรู้ในการเทรด

ถ้า คุณตามคนที่บอกว่าเขาเป็นมืออาชีพ อย่างไม่ลืมหูลืมตา คุณก็ไม่ต่างอะไรกับตัวเลมมิ่ง คุณจะทำกำไรได้อย่างไร ถ้าวันนึงมืออาชีพเหล่านั้น ไม่ให้เคล็ดลับ หรือเคล็ดลับของเขามันใช้ไม่ได้อีกต่อไป

คุณจะเข้าใจหรือไม่ว่า พวกเขา มาบอกคุณทำไม ?
ทำไมตอนนี้พวกเขาไม่มาบอกคุณอีกแล้ว ?


5. ตำนาน เดโม
หาก คุณอยากจะเป็นนักมวยอาชีพ คุณต้องออกไปซื้อ เกมส์ต่อยมวย เอามาเล่นบนเครื่อง Play 3 แล้วก็มาฝึกมวย อ่านแล้วรู้สึกยังไงบ้าง ? มันก็เหมือนกับการเทรดเดโม แล้วคุณหวังว่า จะกลายเป็นนักเทรดมืออาชีพได้

การเทรดเดโม 3 เดือน ไม่เหมาะด้วยเหตุผลสองประการ :
1. เดโม ทำให้มือใหม่มั่นใจแบบผิด ๆ และทำให้พวกเขาติดนิสัยการเทรดที่ไม่ดี
2. บัญชีเดโม เรามักจะเทรดได้ดีกว่าบัญชีเงินจริงเสมอ เพราะมีออพชั่นที่ดีกว่า เช่น ส่งออร์เดอร์ได้ไวกว่า เร็วกว่า และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย

วิธีแก้ คือ
ใช้ เดโมในการเรียนรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิธีการเทรด เมื่อคุณพร้อมที่จะเทรด คุณควรเทรดด้วยเงินจริงเท่านั้น ซึ่ง ทุกวันนี้ คุณสามารถเปิดบัญชีด้วยเงินเพียง 10 เหรียญ แล้วทำไมจึงไม่เทรดเงินจริงกัน

ถ้าหากยังไม่มีความสามารถหาเงิน 10 เหรียญมาเทรดได้
ก็ไม่ต้องมาเทรดเลยดีกว่า ....


6. พยายามแก้ปัญหาการขาดทุนติดกันให้ได้

นี่ เป็นข้อที่สาคัญที่สุดที่ควรใส่ใจในการเทรด ถ้าไม่มีกฏข้อนี้บอกได้เลยว่า คงไม่ได้เป็นเทรดเดอร์ ที่ประสบความ สาเร็จ ถ้าคุณเสียติดกัน สามครั้งติด ๆ กัน ให้อยู่ห่าง ๆ จากกราฟ หยุดไปซักพัก แล้วกลับมา พร้อมสมอง ที่ว่างเปล่า การเทรดเสียติด ๆ กัน เป็นสิ่งอันตรายมาก และสามารถนำเราไปสู่การเสียครั้งใหญ่ได้




แค่นี้คงอธิบายได้ชัดพอ ไม่ต้องย้ำอะไรมาก


7. การตามคนอื่น
เคย ได้ยินไหมว่า ? นักเทรดส่วนใหญ่ของมือใหม่ 90 % ล้มเหลวกันทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม มันก็จริง ที่บอกว่า นักเทรด มือใหม่่ส่วนใหญ่ ที่เข้ามาในตลาด ต่างก็ล้มเหลว

ความ ลับ ก็คือ การคิดต่างออกจากปากคนส่วนใหญ่ และเทรดด้วยตัวเอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ให้คุณอยู่ห่าง ๆ จากบอร์ดต่าง ๆ แต่หมายถึง คุณควรทำาทุกอย่างด้วยตัวเอง หาความรู้ประสบการณ์ ในการที่จะเป็นอิสระ จาก การตามความคิดของผู้อื่น

ลองคิดเรื่องพวกนี้ดู :
1. นักเทรดส่วนใหญ่ที่เป็นมือใหม่ ล้วนแต่ล้มเหลว
2. ถ้าเราตามคนส่วนใหญ่ เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่
3. ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่ เราก็จะล้มเหลว

การที่จะเป็นอิสระ ต้องไม่เป็นผู้ตาม


8. ยึดมั่นในวิธีการของตัวเอง
วิธี การเทรดไม่ว่าวิธีใดก็ตาม ย่อมมีขึ้นมีลง ไม่มีระบบเทรด วิธีการใด หรือการเทรดแบบไหน ที่จะได้กำไร 100 % ตลอดไป วิธีการ เช่น มีโอกาสกำไรเฉลี่ย เท่ากับ 80 % บางช่วงของปี ควรจะได้กาไร 60 % หรือบางทีในช่วงอื่น ๆ ของปีก็ได้กาไร 100 % ซักหนึ่งหรือสองเดือน ควรรู้ว่าแต่ละปี จะต้องเจอช่วงที่แย่ และต้องเสียมากกว่าที่เคยเสีย เราจะต้องไม่สูญสิ้นศรัทธา และยังเทรดมันต่อไป

แต่ปัญหาของมือใหม่ คือ จะยอมแพ้ หลังจากเพียงแค่ สัปดาห์แรกเท่านั้น
อย่าทิ้งระบบของคุณเมื่อเวลาแย่ ๆ มาถึง


9. พยายามทำให้มันธรรมดาที่สุด นี่เป็นเรื่องง่าย และ ธรรมดา !
การ เทรดไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก หรือซับซ้อน ตัวอย่างวิธีการเทรด ค่อนข้างธรรมดาและมีประสิทธิภาพ ใช้เวลา 2 -5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในการเทรด โดยส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตตามปกติ วิธีการเทรดไม่ต้องซับซ้อน และยากต่อการทำ ความเข้าใจ
ทำให้มันง่าย ซึ่งจะทำให้คุณ:
1. ใช้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. ไม่ต้องเฝ้ามาก
3. ทำให้เรียนรู้ได้เร็วยิ่งขึ้น

ถ้าคุณจำอะไรเกี่ยวกับบทความนี้ไม่ได้เลย คุณต้องจำข้อ 10


10. เทรดเพียงคู่เดียวเท่านั้น
กุญแจ ไปสู่ประตูแห่งการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากมือใหม่ไปสู่มืออาชีพ คือ การทำให้การเทรดของคุณ เป็นเรื่อง ธรรมดาที่สุด วิธีหนึ่งที่ง่ายที่สุด คือ การทำให้การเทรดของคุณนั้นธรรมดาที่สุด โดยการเทรดแค่ คู่เงินเดียว ข้อนี้ธรรมดามาก แต่ว่าไม่น่าเชื่อว่า ไม่ค่อยมีใครทำมัน การเทรดแค่คู่เดียวจะช่วยเราได้ เพราะ จะทำให้คุณมีสมาธิ และพยายามเรียนรู้ เกี่ยวกับค่าเงินคู่นั้น ๆ ดังนั้น มันจะทำาให้คุณเข้าใจว่า มันเคลื่อนไหวยังไง?

ถ้าคุณพยายามดื้อดึง เทรด 5 คู่ ในเวลาเดียวกัน การเรียนรู้ในการเทรดย่อมจะยากกว่า

คุณจะต้องเรียนรู้ลักษณะพิเศษ ของค่าเงินแต่ละคู่ คุณจะต้อง:
1. มีปฏิกิริยากับข่าว ที่แตกต่างตามค่าเงิน
2. อัตราการวิ่งของแต่ละคู่ที่ บางคู่ช้า บางคู่เคลื่อนไหวเร็ว
3. เวลาที่คู่เงินเคลื่อนไหวแตกต่างกันในช่วงวันหนึ่ง
4. ต้องจัดการออร์เดอร์ที่เปิดอยู่ แตกต่างกันไป

ในฐานะมือใหม่ การกระโดดเข้าเล่นหลายคู่แบบนี้ จะทำให้มีความกดดันสูง และทำให้เรียนรู้ได้ช้า

ดังนั้น ควรเริ่มด้วยการ เทรดคู่เดียว
เมื่อคุณได้กำไร คุณสามารถเทรดได้หลายคู่ เท่าที่คุณจะสามารถรับได้


11. เทรดเพียงแค่ Time Frame (TF) เดียว
การเทรด Time Frame เดียวก็เป็นการทำให้ระบบธรรมดา

การดู Time Frame เดียวมีประโยชน์ ดังนี้ :
1. ทำให้คุณมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนรู้ ในแต่ละ Time Frame ดังนั้น มันจะช่วยลดความสับสน ที่มาพร้อมกับ การเรียนรู้การใช้ หลาย ๆ Time Frame
2. ทำให้คุณต้องดูกราฟน้อย และมีสมาธิในการวิเคราะห์กราฟ Time Frame เดียวมากขึ้น ดังนั้น จะทำให้คุณ วิเคราะห์ มีประสิทธิภาพ และคุณภาพในการวิเคราะห์
3. ช่วยลดการวิเคราะห์มากเกินไป โดยการดูหลาย Time Frame ซึ่งทำให้เกิดข้อขัดแย้ง
4. มันทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

จำ ไว้เสมอว่า ทั้งหมดนี้เพื่อทำให้ระบบเทรดของเราธรรมดามาก ถ้าคุณเทรด Time Frame เดียว และคู่เงินเดียว ในฐานะมือใหม่ คุณไม่ควรจะไปยึดกับกราฟหลายกราฟ

ควรจะเทรดกราฟเดียว จนกว่า คุณจะได้กำไรอย่างต่อเนื่อง


12. กราฟสะอาด
มือ ใหม่ส่วนใหญ่ จะใส่ Indicator เต็มไปหมดในกราฟของพวกเขา ตอนที่เข้าเทรด Indicator ช่วยคุณในการเทรด ฉะนั้นถ้าเราใส่เยอะ หมายความว่าดีกว่า ? ผิด หรือ ถูกกันแน่!

เมื่อเทรดเดอร์มีประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาจะพบว่า ยิ่งน้อยก็ยิ่งดี Indicator ที่มากจะทำให้คุณสับสนมากขึ้น
ยิ่งคุณมี Indicator มากเท่าไหร่ก็จะทำให้ :
1. ทำให้กราฟยุ่งเหยิง ยากต่อการวิเคราะห์กราฟ
2. ทำให้คุณ ต้องคิดมากกว่าปกติ และการตัดสินใจของคุณแย่ลง
3. เพิ่มความขัดแย้งของสัญญาณมากขึ้น ระหว่าง Indicator

ฟังดูไม่เวิร์คเลย ใช่ไหม ? ...
Indicator ไม่ใช่ทั้งหมดของการเทรด จะเทรดด้วยกราฟเปล่า ๆ และอัตรากำไรต่อขาดทุนถึง 80 % ไม่ได้บอกว่า คุณต้องเอา Indicator ออกให้หมด แต่ว่า หลายคนเทรดโดยไม่ใช้ Indicator พร้อมกับแนวรับแนวต้านและ รูปแบบกราฟแท่งเทียนต่าง ๆ

อย่างน้อยไม่ควรมีเกินสองตัวในกราฟของคุณ

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/12-546/?/

ความจริงเกี่ยวกับการเล่นหุ้น

1. ในตลาดอะไรก็เกิดขึ้นได้
ตลอดเวลาในตลาดมันจะมีตัวแปรที่คอย ขับเคลื่อนตลาดที่เราไม่รู้จักอยู่ ขอแค่มีเทรดเทรดเดอร์เพียงคนเดียวที่อยู่ที่ไหนสักแห่งในโลก ทำอะไรซักอย่างกับตลาด มันก็อาจจะทำให้การวิเคราะห์กราฟของเราผิดพลาดได้เสมอ ไม่ว่าเราจะเสียเวลากับการวิเคราะห์มานานแค่ไหน ศึกษาหาความรู้มาอย่างมากมาย หรือลงทุนไปกับมันมากเท่าไหร่ แต่ถ้ามองในมุมมองของตลาดแล้ว มันไมเกี่ยวกันกับการที่ตลาดจะขึ้น หรือจะลง ดังนั้นการที่เราคาดหวังในทิศทางของตลาดนั้น มันเพียงแต่จะทำให้จิตใจเราสับสน และขัดแย้งกันก็แค่นั้น

2. เราไม่จำเป็นต้องรู้ทิศทางของตลาดอย่างแม่นยำ ก็สามารถทำเงินได้
การ เทรดหุ้นแต้ละครั้งมันมีเปอร์เซันได้ - เสียเป็นของมัน และตัวที่กำหนดสิ่งนี้คือ มุมมอง หรือระบบของเรา สมมุติต่อไปอีก 20 เทรด เรารู้ว่าเราจะได้ 12 และเสีย 8 แต่สิ่งที่เราไม่รู้คือเราจะได้ครั้งละเท่าไร และเราจะเสียครั้งละเท่าไร นี่เป็นสิ่งที่ทำให้การเล่นหุ้นเป็นเกมเกี่ยวกับความน่าจะเป็น หรือเป็นเกมนับเลข ยกตัวอย่าง นักเทรด 2 คน คนแรกมีโอกาสเทรดได้ 75% แต่จะได้แค่ครั้งละ 20 Pips และเสียครั้งละ 60 Pips เทรด 20 ครั้ง ผลที่ได้คือ 0 Pip ส่วนนักเทรดคนที่ 2 มีโอกาสเทรดได้แค่ 25% แต่จะได้ครั้งละ 100 Pips เสียครั้งละ 30 Pips 20 เทรด เขาจะได้ทั้งหมด 50 Pips เห็นไหมครับมันเป็นเกมบวกเลข - ลบเลข โอกาสแพ้ชนะแทบจะไม่มีผล ถ้าเรามี Money Management และ Risk-to-Reward ที่ดี และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตใจ นักเทรดคนแรกเขามีโอกาสชนะที่สูงมาก แต่เขากลับสู้คนที่ 2 ที่โอกาสชนะน้อกว่าไม่ได้ แล้วถ้าเขาไม่กลัวว่าเทรดที่ได้จะกลับมาเสียแล้วรีบปิด เขาจะได้มากเท่าไร ถ้าเขากล้าที่จะตัดขาดทุนแทนที่จะนั่งรอให้มันตีกลับมาบวก เขาจะเสียมากขนาดนั้นไหม มันเป็นเรื่องของความกลัวครับ ความกลัวในการเล่นหุ้นในความคิดผมนั้นมีอยู่ 3 อย่าง กลัวที่จะขาดทุน กลัวที่จะพลาดโอกาส และกลัวที่จะได้กำไรมากเกินไป อันสุดท้ายนี่หมายถึง การกลัวว่าเทรดที่ได้จะกลับมาเสียรีบปิดเร็วเกินไป เรียนรู้ที่จะควบคุมความกลัวแล้วการเทรดของเราจะดีขึ้น

3. มันมีเปอร์เซ็นได้ - เสียของแต่ละระบบ
ข้อ ได้ได้อธิบายในข้อ 2 ไปบ้างแล้ว เมื่อเรารู้ระบบของเราแล้ว ก็เหลืออีกสองอย่างที่เราต้องมี คือ Money Management กับ Mindset อันแรก Money Management บางคนบอกว่าไม่จำเป็น แต่ความจริงแล้วมันจำเป็นมากในการที่จะประสบผลสำเร็จในตลาด Forex ผมแนะนำว่าเทรดแต่ละเทรดควรจะเสียได้ไม่เกิน 2% ของบัญชีนะครับ การที่เราตั้งไว้น้อยแบบนี้มันก็ช่วยลดความกลัวของเราได้อีกทางหนึ่งนะครับ ประมาณว่าถึงเสียก็เสียแค่ 2% ลองเสี่ยงดูก็ได้ ลองทำดูนะครับ เชื่อผม อย่างที่สอง Mindset ก็คือระบความคิดของเรานั่นเอง ระบบความคิดทั่วไปของเราทุกคนใช้ไม่ได้กับตลาดนะครับ ระบบความคิดที่เทรดเดอร์ควรมีคือการมองในความเป็นได้ เคยสังเกตไหมครับว่าคนส่วนใหญ่จะบอกว่า "ถ้าเราเดาทิศทางของตลาดหุ้นถูกเราก็รวย" ไม่ใช่ "ถ้าเราคำนวณทิศทางของตลาดหุ้นถูกเราก็รวย" เดากับคำนวณมันต่างกันนะครับ ผมมีคำถาม 3 ข้อมาถามครับ ถ้าเราเจอจุดเข้าเทรดที่ดีมากจุดหนึ่ง แต่ที่ผ่านมาเราเสียมาตลอด เราจะคิดยังไง ถ้าเราเข้ามาเจอว่าตลาดกำลังพุ่งไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว เราจะคิดยังไง และถ้าเราจับเทรนใหญ่ในตลาดได้เทรนหนึ่ง แต่แล้วเมื่อไปถึงแค่ครึ่งทางราคามันก็เริ่มวกกลับทางเดิม  เราจะคิดยังไง และสุดท้าย ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างที่ว่ามานี้ขึ้น เราจะทำอะไร ฝากเก็บไปคิดนะครับ

4. ระบบบอกแค่ว่าสึ่งหนึ่งมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นมากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง
มัน ไม่ได้บอกว่าอะไรจะเกิด และอะไรจะไม่เกิด ถ้าพี่เคยคิดว่าเมื่อระบบบอกแบบนี้ มันจะต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน ลง Lot หนัก หรือเทหมดหน้าตักได้ ผมว่ามันเสี่ยงมากเกินไปนะ
ครับ เพราะในตลาดอะไรก็เกิดขึ้นได้

5. ตลาดไม่เคยซ้ำกับในอดีต
ให้สนใจในปัจจุบันครับเป็นสำคัญครับ ตลาดมันแค่คล้ายกันกับในอดีต แต่มันไม่ซ้ำกับในอดีตแน่นอน

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t577/?/

Wednesday, September 17, 2014

เล่น Forex ในไทยผิดกฏหมายหรือไม่???

หลายท่านอาจสงสัยว่าการเล่น Forex นั้นผิดกฎหมายหรือไม่ ถ้าไม่ผิดทำไมบ้านเราถึงยังไม่มี Broker ที่ไหนให้บริการ ในความเป็นจริงแล้วการลงทุนใน Forex นั้นรัฐบาลไทยอนุญาติให้กับสถาบันการเงินใหญ่ๆ เท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า Forex เป็นแหล่งการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง และใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ประชาชนที่ไม่มีความรู้ที่เพียงพออาจเสียเงินทองจำนวนมากได้ และในอดีตมีข่าวทางด้านลบเกี่ยวกับบริษัทบางแห่ง เปิดให้บริการลูกค้าลงทุนใน Forex ในวงเงินที่สูง แต่กลับนำเงินไปรับความเสี่ยงเอง หรือทำตัวเป็นเจ้ามือเสียเอง ไม่ได้กินค่านายหน้าอย่างเดียว จนเมื่อลูกค้าทำกำไรได้มากๆ ก็ไม่สามารถจ่ายได้จนปิดบริษัทหนีไป ทำให้ Forex กลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าลงทุน ไม่น่าเชื่อถือ ทำให้รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อป้องกันสิ่งเหล่านี้ให้ห่างไกลจากประชาชน ซึ่งทำให้ประชาชนตาดำๆ อย่างเราถูกตัดโอกาสในการลงทุน ที่มหาเศรษฐีระดับโลกใช้เป็นเครื่องมือในการลงทุนชั้นเยี่ยมของเขา

ปัจจุบันการลงทุน Forex ของประชาชนทั่วไปยังถือว่าผิดกฎหมาย ทั้ง Broker ที่เปิดให้ลงทุนในประเทศไทย และผู้ลงทุนที่โอนเงินไปลงทุนกับ Broker ในต่างประเทศ โดยรัฐบาลกลัวว่าจะเป็นช่องทางที่จะนำเงินนอกระบบไปฟอกเงินนั่นเอง สำหรับท่านที่ลงทุนเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเพิ่มทักษะทางการลงทุนคงไม่จำเป็นต้องใส่ใจในเรื่องนี้มาก หากแต่ท่านที่ลงทุนเงินเป็นจำนวนมาก คงต้องคิดถึงความเสี่ยงด้านนี้ด้วย เนื่องจากการนำเงินกลับเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมากทางธนาคาร อาจทำให้ ปปง. เพ่งเล็งท่านได้ ตอนนี้ทำอะไรก็ตามแต่ ต้องโปร่งใส และพิสูจน์ไม่ได้ครับ แล้วท่านจะห่างไกลจากการตรวจสอบของรัฐบาลไทย ที่ยังเกรงว่าประชาชนของพวกเขาจะโดนหลอก จึงปิดกั้น แทนที่จะให้ความรู้ (เพราะมันง่ายดี)

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-553/?/

Tuesday, September 16, 2014

ความแตกต่างของการวิเคราะห์หุ้นทางพื้นฐานกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค article

หากบอกถึงความแตกต่างระหว่างการวิเคราะห์ทางเทคนิค และการวิเคราะห์ทางพื้นฐานแบ่งออกได้ดังนี้


พื้นฐาน - มองหา “มูลค่าที่แท้จริง” ของหลักทรัพย์นั้นๆ
-  มูลค่าที่แท้จริง “สูงกว่า” ราคาตลาด (ของแพง)
-  มูลค่าที่แท้จริง “ต่ำกว่า” ราคาตลาด (ของถูก)

เทคนิค - ดู “Demand & Supply” ของหลักทรัพย์นั้นๆ
-  ดูความต้องการของนักลงทุนว่าอยากซื้อ หรืออยากขาย
-  เป็นเรื่องของ “ Sentiment ” จิตวิทยาและสภาวะตลาด  

การวิเคราะห์ทางพื้นฐาน   “Intrinsic Value”
-  ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น เช่นเงินปันผล หรือ P/E
-  อัตราการเจริญเติบโตของบริษัท
-  ผลประกอบการของบริษัท

การวิเคราะห์ทางเทคนิค “Demand & Supply”
-  ความเคลื่อนไหว ของราคาหุ้น
-  สภาวะตลาดและ จิตวิทยามวลชน
- ทิศทางของตัวเลขดัชนีต่างๆ

ความแตกต่างทางพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนทางพื้นฐานและทางเทคนิค
พื้นฐาน เน้นระยะยาว โดยซื้อแล้วเก็บ แต่สามาระยอมรับความเสี่ยงได้น้อย
เทคนิค สามารถลงทุนได้ทั้ง ระยะสั้นและระยะยาว โดยจะซื้อ-ขายตามสัญญาณทางเทคนิค และ ยอมรับความเสี่ยงได้มาก

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t16/?/

Monday, September 15, 2014

การลงทุนในตลาด Forex

การลงทุนในตลาด Forex นั้น คล้ายกับการเก็งกำไร ลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในบ้านเรา นั้นคือ ซื้อมา แล้วก็ขายไป กำไรที่ได้มาจากผลต่างของราคาซื้อ และราคาขาย แค่เปลี่ยนจากการซื้อหุ้น เป็นการซื้อเงินตราสกุลต่าง ๆ นั้นเอง

ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาด Forex นั้นสูงมาก เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้น หรือการลงทุนในกองทุน สำหรับผู้ที่พอรู้ หรือติดตามการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน อาจสงสัยว่าการลงทุนในตลาด Forex ซึ่งซื้อขายเงินตราสกุลเงินต่าง ๆ จะให้ผลตอบแทนสูงได้อย่างไร ในเมื่อแต่ละวันอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาของสกุลเงินต่าง ๆ นั้นเปลี่ยนแปลงน้อยมาก (ไม่ถึง 1%) คำตอบอยู่ตรงนี้ครับ สิ่งที่ทำให้ตลาด Forex ให้ผลตอบแทนสูงนั้นคือ ระบบ Leverage ซึ่งเปิดโอกาสผู้ลงทุน สามารถลงทุนและทำกำไรได้เหมือนมีทุน เป็นร้อยเท่าจากทุนจริงที่มีอยู่ และสามารถเลือกทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น และขาลง ซึ่งทั้งหมดนี้เหมือนกับการลงทุนใน Gold Future, TFEX หรือ SET50 Future ในบ้านเรานั้นเอง เพียงแต่ว่า สัดส่วน Leverage นั้นสูงกว่ามาก

หลาย คนอาจจะสงสัยกับคำว่าผลตอบแทนสูงนั้น สูงขนาดไหน?? เปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น การลงทุนซื้อหุ้นในตลาดทุนเพื่อเกงกำไรระยะสั้น โอกาสที่จะได้กำไร 10-20% ใน 1 วันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดได้บ่อย แต่สำหรับตลาด Forex กำไร 10-20% ต่อ 1 วันนั้นเป็นเรื่องปกติ และธรรมดามาก (บางจังหวะ เพียงแค่ 5-10 นาที ก็สามารถทำกำไร 10-20% ก็เป็นไปได้) จะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนนั้นสูงมาก และยั่วยวนกิเลสดีจริง ๆ แต่ ในทางกลับกันก็เป็นการลงทุนที่มีอัตราเสี่ยงสูงมาก (มี 100 ก็หมด 100 ได้ไม่ยาก ในเวลาอันสั้นเช่นกัน) ดังนั้นผู้ที่สนใจ และอยากลองลงทุนในตลาด Forex ก่อนลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนนะครับ

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-25/?/

Friday, September 12, 2014

ระบบ Financial Leverage ในตลาด Forex

Financial Leverage (FL) แปลตรงตัว คือ การงัดเพื่อให้เกิดแรงมากขึ้นทางการเงิน ในการลงทุนในตลาด Forex ก็คือการที่เรายืมเงินทุนจากโบรคเกอร์ไปลงทุน เพื่อก่อให้เกิดกำไรเพิ่มมากขึ้น โดยปกติค่า Leverage นั้นจะกำหนดโดยโบรคเกอร์ และระบุเป็นสัดส่วนซึ่งก็คือสัดส่วน การลงทุนโดยใช้ทุนของเรา เทียบกับการลงทุนจริงในตลาดโดยยืมทุนจากโบรคเกอร์ ฟังแล้วก็อาจจะงง ๆ มาดูตัวอย่างกันดีกว่าครับ ตัวอย่างแรกกรณีซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์บ้านเราธรรมดา Leverage คือ 1:1 นั้นคือ เราเอาเงินทุนของเราล้วนๆ ไปซื้อหุ้นจริงๆ ธรรมดา หุ้นมีมูลค่าเท่าไหร่ ก็จ่ายจริง ซื้อจริงตามนั้น กำไร หรือขาดทุน ก็คิดจากผลต่างราคาซื้อ กับราคาขาย ตรง ๆ ธรรมดา

ตัวอย่างที่ 2 ลงทุนในตลาด Forex กับโบรคเกอร์ที่ให้อัตราส่วน Leverage 1:100 (แต่ละโบรคเกอร์อาจให้สัดส่วน Leverage ที่แตกต่างกันไป) นั้นหมายความว่า เราใช้เงินทุนของเราเพียงแค่ 1 หน่วย แต่ทำการสั่งซื้อขายในตลาด 100 หน่วย โดยกำไร หรือขาดทุนที่ได้ นั้นก็คิดจาก 100 หน่วยนั้นที่เรายืมโบรคเกอร์ไปลงทุน เช่น เราใช้เงินทุนของเรา 1 USD ซื้อ THB ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยน 34.00 บาท ต่อ 1 ดอลลาห์ี่ Leverage 1:100 จะเปรียบเสมือนเราส่งคำสั่งซื้อ THB เข้าไปในตลาดด้วยจำนวนเงิน 100 USD ซึ่งจะทำให้เราได้ THB 3400 บาท เมื่ออัตราแลกเปลี่ยน USD/THB เปลี่ยนแปลงโดยเงิน THB แข็งค่าขึ้นจาก 34.00 บาท เป็น 33.80 บาท และเราสั่งปิดออร์เดอร์ ที่ 33.80 บาท ต่อ 1 ดอลลาห์ เมื่อแปลงกลับที่อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันในขณะนั้น เราจะได้ USD กลับมา 3400/33.8 = 100.59 USD ในส่วน 100 USD ที่เรายืมโบรคเกอร์มา ก็ต้องคืนไป ส่วนกำไรของเราคือผลต่างที่ได้จากการเทรดรอบนี้ซึ่งก็คือ 100.59-100 = 0.59$ จะเห็นเลยใช่ไหม๊ครับ ว่าแค่เงินบาทแข็งขึ้น 20 สตางค์ เราได้กำไรถึง 0.59 USD จากการลงทุนเพียงแค่ 1 USD ซึ่งนั้นก็คือกำไร 59% เลยทีเดียว!!

ใน ทางกลับกัน ถ้าเงินบาทอ่อนลงมาที่ 34.40 บาท เมื่อแปลงกลับมาเป็น USD จะเหลือ USD มูลค่าในตลาดเพียง 3400/34.40 = 98.84 USD หรือติดลบ 98.84-100 = -1.16 USD ซึ่ง จำนวนเงินตรงนี้ โบรคเกอร์จะหักเงินในพอร์ตของเราจากส่วนที่ว่าง และไม่ได้ใช้เทรด (Available Margin) ตรงนี้จะเห็นได้ว่าการเทรดแบบระบบ Leverage นั้น เราจะสั่งซื้อขาย โดยใช้เงินทั้งหมดในพอร์ตไม่ได้ เราต้องเหลือเงินจำนวนหนึ่งไว้เพื่อเป็น Margin ให้กับทางโบรคเกอร์ ถ้าเราเปิดออร์เดอร์อยู่ แล้วเกิดการขาดทุนจน Available Margin เป็น 0 ระบบจะปิดออเดอร์อัตโนมัติทันที และเราต้องจ่ายส่วนที่ขาดทุนทั้งหมดจาก Available Margin ทั้งหมด เพื่อคืนเงินที่เรายืมมาจากโบรคเกอร์ให้ครบ

สัด ส่วน Leverage ของแต่ละโบรคเกอร์นั้น จะแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 1:100 ไปจนถึง 1:500 บางโบรคเกอร์เราสามารถกำหนด Leverage ได้เอง บางโบรคเกอร์ก็ตั้งไว้ตายตัว ดังนั้นก่อนจะสมัครเปิดพอร์ต Forex กับโบรกเกอร์ได้ก็ตาม ควรตรวจสอบ Leverage ของโบรคเกอร์นั้น ๆ ให้ดี และเลือกให้เหมาะสมกับการเล่นของตัวเองครับ

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/financial-leverage-forex/?/

Thursday, September 11, 2014

ค่าคอมมิสชัน ในการเทรด Forex

โบรคเกอร์ forex หลายโบรคเกอร์ ได้โฆษณาว่าฟรีค่าคอมมิสชัน (Commission) แต่จริงๆ แล้วมันเป็นยังไง?

อัน ที่จริงการเทรด forex นั้นต้องเสียค่าใช้จ่าย (จะเรียกว่าค่าคอมมิสชัน หรือไม่ก็ตาม) ถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้น หรือกองทุนในบ้านเราซึ่งมีค่าคอมมิสชันจะอยู่ที่ประมาณ 0.2% ของมูลค่าที่ทำการเทรด ดังนั้นการที่โบรคเกอร์ forex ส่วนใหญ่ ทำการตลาดโดยอ้างว่า ฟรีค่าคอมมิสชัน ที่จริงแล้วมันไม่จริงทั้งหมด และอาจทำให้เข้าใจผิดได้

ในตลาด forex นั้น คล้าย กับตลาดอื่น ๆ นั้นคือมีการตั้งซื้อ (Bid) และตั้งขาย (Ask) ราคาตั้งซื้อคือราคาที่เราสามารถขายได้ในขณะนั้น ส่วนราคาตั้งขายก็คือราคาที่เราสามารถซื้อได้ในขณะนั้น

ผลต่าง ระหว่างราคาตั้งซื้อ และตั้งขาย นั้นเรียกว่า Spread ยกตัวอย่าง EUR/USD ราคา Bid ที่1.4156 และ Ask ที่ 1.4159 ดังนั้นค่า Spread ของ EUR/USD จะเท่ากับ 0.0003 หรือ 3 PIPS ถ้าเราทำการเปิด Order ทำการซื้อขณะนั้น เราจะซื้อได้ที่ 1.4159 และ Transaction ของเราจะขึ้นเป็น -3 PIPS ทันที ถ้าเราปิดออร์เดอร์ขณะนั้นโดยอัตราแลกเปลี่ยนยังไม่เปลี่ยนแปลงเราจะขายได้ ที่ 1.4156 และขาดทุนทันที 0.0003 หรือ 3 PIPS จะเห็นได้ว่า ถ้ายิ่ง Spread กว้างมาก เราก็จะต้องจ่ายส่วนต่างนี้มากขึ้นไปด้วย ส่วนต่างตรงนี้เองที่ส่วนหนึ่งเป็นรายได้ของโบรคเกอร์ และเรา หรือผู้เทรดจำเป็นจะต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิด Order ทำการเทรด

บางคน อาจจะเห็นว่า เสียแค่ 0.0003 จากราคาประมาณ 1.4 นั้นไม่เท่าไหร่เองหนิ ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นก็แค่ประมาณ 0.03% เอง แต่อย่าลืมนะครับว่าการเทรด Forex นั้นมีระบบ Leverage ถ้า Leverage ที่ 1:100 นั้นก็เสมือนว่าเราส่งคำสั่งซื้อด้วยเงินทุน 100 เท่าจากเงินทุนจริงของเรา ดังนั้นถ้าเทียบกับเงินทุนจริงของเรา มันจะไม่ใช่ 0.03% แต่มันจะเป็น 3% นั้นเอง หรือถ้าเทรดในระบบLeverage 1:500 จำนวนเงินตรงนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกเป็น 15% ของเงินทุนจริงของเรา ที่นี้จะเห็นเลยใช่ไหม๊ครับ ว่ามันแพงหูฉี่เลยทีเดียว

โบรคเกอร์แต่ ละที่จะมีค่า Spread ที่แตกต่างกันไป รวมไปถึง คู่อัตราแลกเปลียน แต่ละคู่ก็อาจมี Spread ที่แตกต่างกันด้วย หรือแม้กระทั้งคู่สกุลเงินคู่เดียวกัน แต่คนละช่วงเวลา บางโบรคเกอร์ค่า Spread ก็สามารถขึ้นลง และไม่ Fix ด้วยเช่นกัน ดังนั้นก่อนเปิดใช้บริการของโบรคเกอร์ ควรตรวจสอบค่า Spread ของโบรคเกอร์นั้นๆ ให้ดีก่อนนะครับ รวมไปถึงระบบ Spread ของโบรคเกอร์นั้น ๆ ว่าเป็นแบบ Fix คงที่ หรือเปลี่ยนแปลงได้ ในกรณีที่ใช้บริการของโบรคเกอร์ที่ไม่ Fix ค่า Spread ก่อนทำการเทรดทุกครั้ง ต้องตรวจสอบค่า Spread ในขณะนั้นก่อนส่งคำสั่ง ซื้อ ขาย ถ้ารีบร้อนเกิน กลัวไม่ได้ราคาที่เลงไว้ โดยไม่ได้ตรวจสอบ Spread ให้ดี เข้าเทรดไปแล้วอาจจะตกใจภายหลังได้ครับ

จะเห็นได้ว่าการเลือกโบ รคเกอร์ ค่า Spread ก็เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่สามารถลดค่าใช้จ่ายของเราได้ ถึงแม่มันจะน้อยเมื่อเทียบ กับราคาที่วิ่งขึ้น วิ่งลง ของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถ้าเราประหยัดตรงนี้ได้ แค่ 1-2% ต่อการเทรดแต่ละครั้ง แต่รวมๆ หลายๆ ครั้งก็ไม่ใช่จำนวนเงินน้อย ๆ เลยนะครับ

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-196/?/

Tuesday, September 9, 2014

Rudy Leder เทรดเดอร์ค่าเงินชาวอเมริกัน

Rudy Leder เทรดเดอร์ค่าเงินชาวอเมริกัน เรื่องราวความเป็นมาของเขาไม่ได้มีอะไรแปลกพิศดาร จุดเริ่มต้นของเขาไม่ได้ต่างไปจากเทรดเดอร์หลายๆคนที่เข้าสู่วงการเทรด เริ่มแรกเขาเพียงต้องการหางานอิสระให้กับตัวเอง เพราะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานประจำที่ต้องทำมากกว่า 60 ชั่วโมงต่ออาทิตย์เพื่อทำให้คนอื่น (นายจ้าง) รวย ซึ่งถ้าเขาอยากได้เงินเพิ่มเขาก็ต้องทำโอที แต่นั่นก็ไม่ทำให้ตำแหน่งของเขาปรับขึ้น งานของเขา มันเป็นงานที่คนอื่นๆเรียกมันว่า "งานที่ไร้อนาคต" ตอนนั้นเขายังเด็กและไม่ได้มีเงินเก็บเลย แต่เขามีบางอย่างที่หลายคนไม่มี เขามีความกล้าที่จะออกไปจากสถานการณ์แบบนั้น พร้อมด้วยแรงผลักดันอันแรงกล้าจากภายใน และเนื่องจากเขามีความหลงใหลในตลาดเงินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้น เขาจึงรู้ทันทีว่าอะไรคือสิ่งที่เขาต้องการจะเป็น


ใน ช่วงแรก เขาเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับความพยายามคิดหาหนทางที่จะเอาชนะตลาดให้ได้ แล้วในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่า สิ่งที่เขาพยายามอยู่นั้นมันไม่ต่างอะไรกับการไม่ได้ทำอะไรเลย!!!

หลัง จากนั้น เขาตั้งหน้าตั้งตาอ่านทุกสิ่่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเทรดค่าเงิน ทั้งจากหนังสือ อินเตอร์เน็ต มันมีสิ่งที่ต้องอ่านมากมายจริงๆ ทั้งหมดที่เขาทำ เขานั่งศึกษาและเรียนรู้มันอยู่ที่บ้านของเขา ไม่ต้องมีเจ้านาย ไม่ต้องมีต้นทุน มันเป็นอะไรที่ใครๆ ก็ทำได้ "ผมตื่นเต้นมากจริงๆ ในตอนนั้น ผมจึงลองเปิดบัญชี Demo และโหลดโปรแกรม MT4 มาเทรด โดยผมดูวิธีเทรดจาก  YouTube เป็นส่วนใหญ่"  หลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็เทรดค่าเงินเป็นอาชีพมาตลอดเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว ในช่วงแรก เขาไปลงเรียนกับอาจารย์สอนเทรดหลายๆคน พอเรียนจบกับคนนี้ก็ไปเรียนต่อกับคนนั้น ไปเรื่อยๆ  จนในที่สุดเขาก็เริ่มคิดได้ว่า จริงๆแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องช่วยเหลือตัวเอง เรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะทุกคนมีมุมมอง วิธีคิดหรือปรัชญาในการมองตลาดที่แตกต่างกัน ดังนั้น คุณจำเป็นต้องค้นหาวิธีเทรดด้วยตัวของคุณเอง คนที่ช่วยสอนเทรดส่วนใหญ่จะให้คุณได้มากในเรื่องของ basic เกี่ยวกับตลาดค่าเงิน และทำให้คุณเข้าใจภาพรวมของตลาดรวมถึงปัจจัยที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จใน การเป็นเทรดเดอร์ แต่สุดท้ายแล้ว คุณจะเทรดอย่างไร คุณต้องหามันเอง!!!!!!

"แต่ อย่างไรก็ตาม ผมยังเชื่อว่าอาจารย์สอนเทรดเก่งๆ ก็มีอยู่บ้าง แม้จากประสบการณ์โดยตรงของผมที่เป็นทั้งผู้เข้าเรียนและผู้สอน ผมรู้สึกว่าคนที่เข้าเรียนได้รับประโยชน์จากการอบรมเพื่อจะเป็นเทรดเดอร์ อิสระไม่มากนัก สถาบันอบรมเหล่านี้ จะแสดงผลกำไรให้คุณเห็นว่าเขาสามารถสร้างผลตอบแทนเป็นรายวัน รายสัปดาห์ที่เหลือเชื่อ จนคุณอดใจไม่ไหวต้องจ่ายเงินค่าเรียนเทรดให้พวกเขาจำนวนมาก ในความเห็นของผมโดยสัตย์จริง ผมมองว่าถ้าผู้สอนเหล่านี้รู้จริงเกี่ยวกับการเทรดค่าเงิน และสามารถบอกผู้เรียนได้ถึงอุปสรรคต่างๆ ในการเทรดได้อย่างครบถ้วน ก็น่าจะมีคนที่ประสบความสำเร็จในการเทรดมากกว่านี้"

คุณคิดว่าในการสอนของผู้สอนเทรดส่วนใหญ่ ขาดอะไรไปบ้าง"
อืม ผมเชื่อว่าผู้สอนเทรดเหล่านั้น รู้สึกว่าเขาควรจะต้องสอนทุกอย่างให้แก่นักเรียนของเขามากที่สุดเท่าที่จะทำ ได้ เพื่อให้นักเรียนเหล่านั้นได้ข้อมูลคุ้มค่ากับค่าเล่าเรียน แต่สุดท้ายผู้สอนมักจะให้บทเรียนที่มากเกินไปจนนักเรียนของเขาไม่สามารถรู้ อะไรได้อย่างถ่องแท้เลยสักอย่าง" เวลาที่เรียนอะไรก็ตามเกี่ยวกับวิธีหรือหลักการที่จะทำให้ประสบความสำเร็จใน การเทรดนั้น คุณไม่ได้ต้องการน้ำน้ำหรอก สิ่งที่คุณต้องการคือเนื้อแท้หรือแก่นจริงๆ ที่จะได้ใช้ในการเทรดเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้ว อะไรก็ตามที่อาจารย์พยายามจะยัดเยียดให้ คุณไม่เคยได้ใช้มันหรอก คุณต้องจำไว้ว่า "น้อยดีกว่ามาก" แต่คุณต้องรู้ไอ้ที่น้อยๆ นั้นอย่างลึกซึ่ง นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการเทรด

ถ้าคุณยัง นึกภาพไม่ออกเกี่ยวกับสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อ ขอให้คุณจินตนาการว่า ด้วยเงิน $19.99 ระหว่างการกินไก่ KFC 20 ชิ้น กับ การกิน 3 ชิ้น ในข้อแม้ว่าคุณต้องกินให้หมดเท่านั้น อันไหนมันดีกว่ากันสำหรับคุณ???

คิดยังไงเกี่ยวกับ EA
"Expert Advisors หรือ EA จริงๆ ผมก็ว่ามันดีนะ มันสามารถช่วยให้งานของเราง่ายขึ้น ทำให้เราใช้เวลาอยู่หน้าจอน้อยลง  แต่ผมไม่ชอบเลย พวกที่มาขายระบบเทรด หรือ EA ผ่านเมล์หรือเว็บไซต์ต่างๆ แล้วบอกว่ามันสามารถทำเงินได้ 5% ต่อเดือน "Only $259 Get it now " มันตลกไหม ถ้าคุณมี EA ที่สามารถทำเงินให้คุณได้ 5% ทุกเดือน ทำไมคุณจะขายมันแค่ $259 ล่ะ จริงไหม

โดยส่วนตัว ผมชอบที่จะเปิด order ด้วยตัวเองมากกว่า แต่อาจเอา EA เข้ามาช่วยในบางครั้งเพื่อติดตามผลการเทรด สำหรับผม EA มันใช้ไม่ได้ผลสักเท่าไร

หลักการคิดเกี่ยวกับการใช้ EA ก็คือคุณสามารถจำกัดการใช้เวลาในการทำสิ่งที่คุณรักซึ่งก็คือการเทรดน้อยลง มันบ้ามากใช่ไหม ถ้างั้นแล้วเวลาว่าง คุณจะทำอะไรล่ะ ^^  

ระบบเทรดและ Time Frame ที่ใช้
ระบบ เทรดที่ผมใช้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง โดยทั่วไปก็คือขนาดของพอร์ต margin ,leverage และเป้าหมายของผม แต่ในแผนของผม ผมจะเลือกวิธีเทรดแค่หนึ่งถึงสองวิธีเท่านั้น ผมจะไม่พยายามเทรดด้วยหลายๆ ระบบในหนึ่งบัญชี เพราะคุณจำเป็นต้องใช้สมาธิกับระบบหนึ่งระบบใดเท่านั้น ผมรู้ว่ามีเทรดเดอร์หลายคนอาจบอกคุณว่าพวกเขาเทรดโดยใช้ Fibonacci retracements, ดู pivots และใช้แนวรับแนวต้านเป็นรายวันเพื่อหาจังหวะเข้าเทรด นั่นอาจทำให้คุณต้องใช้ยานอนหลับเพราะโรคนอนไม่หลับ ผมชอบที่จะใช้ time frame ใหญ่หน่อย เพื่อที่จะมองทิศทางว่าคู่เงินนั้นๆจะไปทางไหนในหนึ่งถึงสามเดือนข้างหน้า ความเข้าใจนิสัยและพฤติกรรมของค่าเงินหนึ่งคู่นั้นมันคล้ายๆกับการที่คุณ เข้าใจแฟนของคุณ และคุณต้องมีแฟนได้ทีละคน อย่ามีทีละเป็นสิบคน เพราะการจะเข้าใจใครซักคนนั้นมันต้องใช้เวลาในการเรียนรู้

หลังจากผมได้ทิศทางของตลาดแล้ว ผมจึงจะลดขนาดมุมมองไปดูที่ time frame ที่เล็กลง แต่โดยทั่วไปผมจะไม่ใช้ TF ที่เล็กกว่า 30 นาที

คนประเภทไหนที่มีโอกาสประสบความสำเร็จในการเป็นเทรดเดอร์
ผม เชื่อว่าทุกคนสามารถประสบความสำเร็จในการเป็นเทรดเดอร์ได้ ไม่ได้จำกัดอยู่ที่รูปแบบ ความเป็นมาหรือพื้นฐานเฉพาะของใครบางคน ผมคิดว่าคนจำนวนมากพยายามจะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นข้ออ้างให้กับตัวเอง ผมพูดเสมอว่า "ถ้าคุณเชื่อว่าคุณทำได้คุณก็จะทำได้"  สำหรับคำแนะนำของผมสำหรับมือใหม่ ก็คือ อย่าพยายามเรียนรู้ที่จะเทรดค่าเงิน option ,future หรือแม้แต่หุ้น แค่เพราะว่าคุณเห็นคนอื่นกำลังทำเงินจากมันได้เป็นจำนวนมาก แต่จงทำมันเพราะคุณรักในการเทรด และคุณชอบที่จะอ่านข่าว รวมถึงวิเคราะห์ชาร์ต

นอกเหนือจ่ากการเทรดแล้ว คุณทำอะไรบ้าง
ผม พยายามออกกำลังกาย ทำอาหาร อ่านหนังสือบ้าง และแน่นอนบางวันผมก็ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน แต่ผมก็ยังสนุกกับการทำ back test ในเวลว่างด้วยเช่นกัน

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/rudy-leder/?/